"เราอาจเป็นทีมที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
คำพูดของ รูเบน อโมริม หลังเกมที่พ่ายไบรท์ตัน 1-3 ในเดือนมกราคมได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วสโมสร แม้ต่อมาเขาจะพยายามลดทอนความรุนแรงของคำพูดนั้น แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมุ่งหน้าสู่การจบอันดับที่แย่ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก และยังห่างไกลจากมาตรฐานที่เคยมี
ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 8 ภายใต้การคุมทีมของ เอริก เทน ฮาก ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นในฤดูกาล 1992/93 อย่างไรก็ตาม หลังจากพ่ายให้กับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ "ปีศาจแดง" ตกลงไปอยู่อันดับ 15 ของตาราง และมีโอกาสถูกลากเข้าสู่การต่อสู้หนีตกชั้นอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
แม้อโมริมจะเข้ามาพร้อมชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมจากการคุม สปอร์ติง ลิสบอน และยังคงได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลปีศาจแดง แต่ผลงานของเขาในพรีเมียร์ลีกกลับย่ำแย่เมื่อเทียบกับอดีตกุนซือก่อนหน้า
"ปีศาจแดง" เคยเป็นมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษภายใต้การนำของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่หลังจากที่เขาอำลาทีมในปี 2013 สโมสรกลับตกต่ำลงอย่างน่าตกใจ แม้จะมีการแต่งตั้งกุนซือระดับท็อปหลายราย แต่ก็ไม่มีใครพายูไนเต็ดกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้ และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า อโมริมต้องการการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่
แต่เมื่อเทียบสถิติของกุนซือยุคหลัง "เฟอร์กี้" แล้ว อโมริมกลับเป็นกุนซือที่ออกสตาร์ตแย่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก ความพ่ายแพ้ต่อท็อตแน่มเป็นการแพ้เกมที่ 8 จาก 14 นัดแรกของเขา โดยสามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 4 นัดเท่านั้น
หากเปรียบเทียบผลงานของกุนซือทุกคนหลังยุคเฟอร์กูสัน อโมริมมีคะแนนน้อยกว่ากุนซือที่แย่เป็นอันดับสองอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ถึง 7 แต้ม ในขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เป็นกุนซือเพียงคนเดียวที่สามารถเก็บได้มากกว่า 30 แต้มจาก 14 นัดแรก โดยเขาสามารถโกยได้ถึง 35 แต้ม
ในตอนแรก การแต่งตั้งอโมริมได้รับการยกย่องว่าเป็นการเสริมทัพเชิงบริหารที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงกับสปอร์ติง ลิสบอน โดยพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ และผลงานอันน่าทึ่งในแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างการถล่มแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงฝีมือของเขา
หลังจากเข้าคุมทัพ "ปีศาจแดง" แม้จะเคยสร้างผลงานน่าประทับใจในการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล แต่อโมริมกลับไม่สามารถสร้างอิทธิพลเชิงบวกต่อทีมได้แบบต่อเนื่อง แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของเขาขาดความดุดันในเกมรุก และการที่เขายึดมั่นในระบบ 3-4-2-1 อย่างไม่ยืดหยุ่น กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างหนักในหมู่แฟนบอล
อโมริมยึดมั่นในระบบที่เคยประสบความสำเร็จที่สปอร์ติง และเขาปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแนวทาง แม้หลายคนจะมองว่านักเตะที่มีอยู่ในทีมแมนฯ ยูไนเต็ดอาจไม่เหมาะกับระบบนี้
กุนซือชาวโปรตุเกสเคยกล่าวไว้ว่า สโมสรจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากก่อนที่จะสามารถฟื้นตัวได้ แม้ว่าแฟนบอลและผู้บริหารของยูไนเต็ดยังคงสนับสนุนเขา แต่หากไม่สามารถปรับปรุงผลงานได้ คำวิจารณ์ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
.....
ขณะที่บางคนชื่นชมอโมริมที่ยังคงยึดมั่นในปรัชญาของตัวเองเพื่อประเมินทีมสำหรับการสู้ศึกฤดูกาลหน้า แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่กำลังตั้งคำถามว่าสิ่งนี้กำลังเป็นการทำร้ายทีมมากกว่าที่จะเป็นผลดีหรือเปล่า
และคำถามนี้กำลังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆแล้ว ตราบใดที่ผลการแข่งขันยังไม่ดีขึ้น