แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีวันสุดท้ายของตลาดนักเตะที่เงียบเหงา แม้ว่าจะมีแฟนบอลจำนวนมากที่ต้องการเห็นทีมเสริมทัพกองหน้า ขณะที่ รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีม ยอมรับว่า "พยายามทุกวิถีทาง" เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม
อโมริม แสดงความเป็นนักการทูตอย่างน่าชื่นชมเมื่อถูกถามว่าเขารู้สึกผิดหวังกับบอร์ดบริหารของยูไนเต็ดหรือไม่ ที่ไม่สามารถเซ็นสัญญากองหน้าคนใหม่ได้
“เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาทีมโดยไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยในอดีต” อโมริมกล่าวหลังความพ่ายแพ้ 2-0 คาบ้านต่อ คริสตัล พาเลซ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “แต่ตลาดนักเตะในครั้งนี้เป็นงานยากสำหรับทุกสโมสรในการปิดดีล นอกจากนี้ยังมีความเร่งรีบที่ทำให้บางครั้งเกิดความผิดพลาด”
อย่างไรก็ตาม ยูไนเต็ดรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นปีว่า อโมริม ต้องการปล่อย มาร์คัส แรชฟอร์ด ออกไป ดังนั้น การที่สโมสรไม่สามารถหาตัวแทนได้ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แม้ว่าจะมีความตั้งใจที่จะไม่ทำผิดพลาดเหมือนในอดีตก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ความล้มเหลวในการคว้าตัว มาธิส แตล กองหน้าของบาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนจะโดน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ฉกตัวแข้งรายนี้ไปต่อหน้าต่อตาในวันสุดท้ายของตลาด ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายและทำให้แฟนบอลไม่พอใจมากขึ้น
ก่อนเกมพ่ายแพ้เมื่อวันอาทิตย์ ยูไนเต็ดได้เปิดตัวสองนักเตะใหม่อย่าง แพทริค ดอร์กู และ ไอเดน เฮเวน ต่อหน้าแฟนบอลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นสองผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง แต่ทุกคนที่ติดตามยูไนเต็ดในฤดูกาลนี้รู้ดีว่าตำแหน่งที่พวกเขาต้องแก้ไขก่อนปิดตลาดคือกองหน้า
แม้ว่า อโมริม จะเลือกใช้ถ้อยคำทางการทูตหลังเกม แต่การจัดทีมของเขาส่งสัญญาณชัดเจนถึง เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ และทีมงานของเขา โดยการดร็อป ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โจชัว เซิร์กซี ไว้บนม้านั่งสำรอง พร้อมกับการส่งมิดฟิลด์อย่าง ค็อบบี เมนู ลงเล่นเป็นกองหน้าแบบฟอลส์ไนน์ นั่นเป็นข้อความที่ชัดเจนว่าจริงๆแล้วทีมต้องการกองหน้าที่สามารถทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอต่างหาก
เซิร์กซี ยิงได้เพียง 3 ประตูจาก 24 เกมในพรีเมียร์ลีก, การ์นาโช่ ไม่สามารถทำประตูในลีกได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน, ฮอยลุนด์ ไม่ยิงเลยตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม และ เมนู ยังไม่มีประตูในลีกเลย มีเพียง อาหมัด ดิยัลโล่ เท่านั้นที่ดูมีศักยภาพในลีก ด้วยการทำ 6 ประตูในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่ผู้เล่นดาวรุ่งเหล่านี้ แต่อยู่ที่ผู้บริหารของยูไนเต็ดที่ยังคงดำเนินนโยบายซื้อตัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และไม่สามารถใช้กลยุทธ์ที่เป็นระบบในการพัฒนาทีมได้
การเข้ามาของ แรตคลิฟฟ์ เมื่อปีก่อนเคยถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่สดใส หลังจากกว่าทศวรรษแห่งความล้มเหลวที่เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาด และการทุ่มเงินไปกับนักเตะระดับปานกลาง
แต่สุดท้าย แฟนบอลยูไนเต็ดกลับต้องทนเห็นความล้มเหลวเดิม ๆ ที่คุ้นเคยกันดีในยุคหลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับขุมกำลังที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงพอสำหรับการแข่งขัน
ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ยูไนเต็ดตัดสินใจให้โอกาส เอริค เทน ฮาก คุมทีมต่อไปหลังจากสัมภาษณ์โค้ชคนอื่น ๆ หลายราย และมอบงบประมาณอีก 200 ล้านปอนด์สำหรับการเสริมทัพ ซึ่งก็ล้มเหลวอีกครั้งในการยกระดับทีม เทน ฮาก ถูกปลดหลังจากออกสตาร์ตฤดูกาลได้ไม่ดี และถูกแทนที่โดย อโมริม ซึ่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึงเดือนก่อนที่บอร์ดบริหารจะปลด แดน แอชเวิร์ธ ผู้อำนวยการกีฬาที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 5 เดือน
ความยุ่งเหยิงดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นทั้งที่ยูไนเต็ดไล่ล่าตัว แอชเวิร์ธ อย่างหนักและยอมจ่ายค่าชดเชย 2 ล้านปอนด์ให้กับนิวคาสเซิล สะท้อนให้แฟนบอลบางกลุ่มเห็นว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงวาทกรรมที่ดูดีเท่านั้น แต่ แรตคลิฟฟ์ และทีมงานของเขายังคงขาดแผนงานที่ชัดเจนในการนำพาสโมสรกลับสู่ความสำเร็จ
ความรู้สึกดังกล่าวยิ่งชัดเจนขึ้นจากตลาดนักเตะครั้งนี้ ที่ยูไนเต็ดล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาหลักของทีม แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าพอใจกับผลงานในตลาด และจำเป็นต้องใช้แนวทางที่มีวินัยทางการเงินในการซื้อ-ขายนักเตะ
เหตุผลหลักก็คือ บอร์ดบริหารไม่ต้องการเสี่ยงกับการจ่ายเงินก้อนโตเพื่อยืมตัวนักเตะดาวรุ่งที่ยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้และไม่มีออปชั่นซื้อขาด (ดังเคสของ มาธิส แตล)
ยูไนเต็ดเชื่อว่าความรอบคอบครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขามีขอบเขตในการเสริมทัพมากขึ้นในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักเตะที่เข้ากับแผนงานระยะยาวของ อโมริม