svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

“ฟิล โฟเด้น” จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่คีย์แมนที่ “แมนฯซิตี้” ขาดไม่ได้

05 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งสำหรับ “ฟิล โฟเด้น” แนวรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สถิติต่างๆบอกชัดเจนว่าปัจจุบันเจ้าตัวได้ลบภาพของการเป็นดาวรุ่ง สู่การเป็นนักเตะคนสำคัญที่ทัพ “เรือใบสีฟ้า” จะขาดไปไม่ได้แล้วในเวลานี้

       “เขาเป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและเข้าใจเกมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมรับ” เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวถึง ฟิล โฟเด้น

       “เขาเล่นได้ทั้งตรงกลาง ด้านขวา สร้างจังหวะแล้วตัดเข้าใน เล่นทางซ้ายก็ยังทำประตูจากทางซ้ายได้ ผมจะพูดอะไรได้ล่ะ เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้จากหลายๆ สิ่งที่เขาทำ มันไม่น่าเชื่อจริงๆ"


จากผลการแข่งขันที่สะดุดเป็นระยะสำหรับแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนปัจจุบันรั้งอันดับ 3 ของตาราง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักนับตั้งแต่ได้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาเป็นกุนซือ ถึงขั้นที่หลายคนวิจารณ์ว่า “เรือใบสีฟ้า” อาจดูไม่พร้อมสำหรับการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้

แต่ “ฟิล โฟเด้น” ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ก็ระเบิดฟอร์มยิงแฮตทริกพาต้นสังกัดกลับมาคว้าชัยชนะเหนือ แอสตัน วิลล่า 4-1 เมื่อคืนวันพุธที่ 3 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา แฮตทริกที่น่าทึ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นอีกครั้งถึงความสามารถของโฟเด้นในการเป็น “คีย์แมน” ในทีมที่เต็มไปด้วยดารา โดยเฉพาะจากการที่ เป๊ป เลือกที่จะพักนักเตะอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์, จอห์น สโตนส์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ในเกมล่าสุด ซึ่ง โฟเด้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถเป็นแกนหลักนำทีมคว้าชัยชนะได้ และนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้เห็นโฟเด้นในฟอร์มที่น่าทึ่งเช่นนี้ในฤดูกาลนี้

“ฟิล โฟเด้น” จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่คีย์แมนที่ “แมนฯซิตี้” ขาดไม่ได้

เด็กปั้นของแท้
ฟิล โฟเด้น คือลูกหม้อของ แมนฯ ซิตี้ แท้ๆ เกิดที่สต็อคพอร์ท เมืองแมนเชสเตอร์ เข้ามาอยู่ในอะคาเดมี่ของ แมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่ 4 ขวบทีเดียว แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบเกินวัย สะท้อนออกมาจากการมาซ้อมตรงเวลา พยายามเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อยู่เสมอ

โฟเด้น ค่อยๆเติบโตมาในอะคาเดมี่แต่ละรุ่นตามลำดับ และฝีเท้าที่เก่งเกินวัยก็ทำให้เจ้าตัวติดทีมชาติอังกฤษมาแทบทุกชุด กระทั่งไประเบิดฟอร์มในศึกฟุตบอลโลก U17 ที่ประเทศอินเดีย เมื่อปี 2017 โดยพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ไปครอง และเจ้าตัวก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์มาได้ด้วย

จากผลงานที่ดีวันดีคืน ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนฯซิตี้ เรียกตัวไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวเป็นซีซั่นแรก และค่อยๆส่งลงสนามไปทีละน้อยเพื่อให้เรียนรู้เกมระดับสูง โดยฤดูกาล 2017-2018 โฟเด้น ถูกเป๊ป ส่งลงสนามทุกรายการไปทั้งหมด 10 เกม 

ในวัย 18 ปี เป็นธรรมดาที่นักเตะจะพยายามหาโอกาสลงสนามให้มากที่สุด แต่มันเป็นไปได้ยากที่ แมนฯซิตี้ เนื่องจากมีแข้งซูเปอร์สตาร์อยู่เต็มทีม อย่างไรก็ตาม เป๊ป ยืนยันว่า โฟเด้น มีอนาคตที่สดใสรออยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของเขาเท่านั้น ขอให้อดทนและพัฒนาฝีเท้าต่อไป ซึ่ง โฟเด้น ก็เชื่อใจเป๊ปด้วยการอยู่กับทีมต่อโดยไม่ยอมย้ายไปไหน 

จากนั้น ฟิล โฟเด้น ก็ค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมา จากนักเตะที่กุนซือค่อยๆ หยอดลงสนามในช่วง 10-20 นาทีสุดท้าย ก้าวสู่การเป็นนักเตะที่ได้เป็นตัวจริงในเกมบอลถ้วย กระทั่งกลายเป็นขาประจำในทีมชุดใหญ่ จนไปสู่การเป็นตัวหลักที่ขาดไม่ได้ในปัจจุบัน

“ฟิล โฟเด้น” จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่คีย์แมนที่ “แมนฯซิตี้” ขาดไม่ได้

อิทธิพลต่อทีมที่เพิ่มขึ้น
3 ประตูของ ฟิล โฟเด้น เมื่อคืนวันพุธ ทำให้เขามีสถิติ “มีส่วนร่วมกับประตู” (ยิงหรือแอสซิสต์) ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปแล้ว 21 ลูก (14 ประตู 7 แอสซิสต์) ขณะที่ยังเหลือแมตช์ให้ขยับสถิติเพิ่มอีกถึง 8 เกม และมันก็ทำให้โฟเด้นขึ้นมารั้งอันดับ 2 ร่วม ในเรื่องสถิติผู้เล่น U23 ที่ทำประตูและแอสซิสต์ได้มากที่สุด (นับเฉพาะ 5 ลีกชั้นนำของยุโรป) โดยมีสถิติเท่ากับ บูคาโย่ ซาก้า ของอาร์เซน่อล (13 ประตู 8 แอสซิสต์) และเป็นรองแค่เพื่อนร่วมทีมอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (18 ประตู 5 แอสซิสต์) แค่คนเดียวเท่านั้น 

และการมีส่วนร่วมกับประตูได้ถึง 21 ลูกดังกล่าวนั้น คิดเป็น 31% ของประตูทั้งหมดที่ แมนฯซิตี้ ทำได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ทีเดียว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของโฟเด้น หลังจากซีซั่นที่ผ่านมาเจ้าตัวมีส่วนร่วมกับประตูของแมนฯซิตี้แค่ 17% เท่านั้น

นั่นหมายความว่า ฟิล โฟเด้น มีอิทธิพลต่อเกมการเล่นของ เรือใบสีฟ้า มากขึ้นเกือบเท่าตัว

“ฟิล โฟเด้น” จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่คีย์แมนที่ “แมนฯซิตี้” ขาดไม่ได้

ทายาทของ เดอ บรอยน์
แม้จะมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน แต่ ฟิล โฟเด้น ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนานว่าจะก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิคนใหม่ในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ต่อจาก เควิน เดอ บรอยน์ ที่กำลังเริ่มค่อยๆโรยรา และทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อ เดอ บรอยน์ บาดเจ็บหนักจนพลาดการลงสนามไปถึง 20 เกมแรกนับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ซึ่งก็เป็น โฟเด้น นี่เอง ที่ก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนของทีมแทนที่ ดังจะเห็นได้จากจำนวนนาทีที่ลงสนามของนักเตะดาวรุ่งรายนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

โฟเด้นไม่เพียงแต่เป็นผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ที่ลงเล่นมากที่สุดของแมนฯ ซิตี้ในลีกฤดูกาลนี้เท่านั้น แต่จากสถิติแสดงให้เห็นว่า เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนาทีที่ลงเล่นให้แมนฯ ซิตี้ในฤดูกาลนี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า จาก 54% ในฤดูกาลที่แล้วเป็น 91% ฤดูกาลนี้

ยิ่งไปกว่านั้น นาทีเฉลี่ยต่อเกมที่ได้ลงเล่นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากค่าเฉลี่ย 58 นาทีต่อเกมในปีก่อน มาเป็น 91 นาทีต่อเกมในซีซั่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฟิล โฟเด้น ได้พัฒนาตัวเองจาก Squad Player เบอร์ต้นๆ ไปเป็นหนึ่งใน 11 ตัวจริงที่ทีมจะขาดไม่ได้เป็นที่เรียบร้อย

จำนวนเกมหรือจำนวนนาทีที่ลงเล่นก็เรื่องหนึ่ง แต่การก้าวเข้ามารับบทบาทสำคัญในทีม เพื่อลดช่องว่างที่ขาดหายไปของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเพลย์เมคเกอร์ที่เก่งที่สุดในพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่ายๆ และตลอดซีซั่นจนถึง ณ วันนี้ ฟิล โฟเด้น ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “เขาทำได้”

และหากแมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ลีกปีนี้ได้สำเร็จ คนที่สโมสรจะต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือดาวเตะรายนี้นี่เอง ที่ยอมอดทนพัฒนาฝีเท้าอยู่ในทีมมานานหลายปีโดยไม่ยอมย้ายไปไหน ก่อนจะมาเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ในเวลานี้

logoline