svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

อีกหนึ่งชัยชนะของ "ไนกี้" หลัง "อินทรีเหล็ก" ยุติความสัมพันธ์ 7 ทศวรรษกับ "อาดิดาส"

22 มีนาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เป็นเรื่องฮือฮาครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล หลัง "อินทรีเหล็ก" ทีมชาติเยอรมนี จะยุติความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 7 ทศวรรษกับ อาดิดาส ในการเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่ง พร้อมหันไปร่วมงานกับ ไนกี้ คู่ปรับตลอดกาล

โดยสมาคมฟุตบอลเยอรมนี (เดเอฟเบ) อย่างเป็นทางการว่า ไนกี้ จะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนชุดแข่งให้กับพวกเขา ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ภายใต้สัญญา 7 ปี หลัง เดเอฟเบ จะหมดสัญญากับ อาดิดาส ในปี 2026 นับเป็นการจบความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 70 ปี กับแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมันรายนี้

โดย อาดิดาส จะผลิตชุดแข่งของทีมชาติเยอรมนีเป็นครั้งสุดท้าย ในศึกฟุตบอลโลก 2026 ที่แคนาดา, เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพร่วม

แบร์นด์ นอยเอนดอร์ฟ ประธาน เดเอฟเบ กล่าวว่า "เรากำลังตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับ ไนกี้ ความร่วมมือในอนาคตนี้จะช่วยให้ เดเอฟเบ สามารถดำเนินงานที่สำคัญต่อไปได้ตลอดช่วงทศวรรษที่กำลังจะมาถึง โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาวงการฟุตบอลใน เยอรมนี อย่างครอบคลุม" 

"แต่เราก็มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเช่นกัน คือจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนธันวาคม ปี 2026 เราจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อที่จะประสบความสำเร็จร่วมกับ อาดิดาส ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่แสนยาวนานของเราจนถึงปัจจุบัน วงการฟุตบอลเยอรมันเป็นหนี้บุญคุณ อาดิดาส มานานกว่า 7 ทศวรรษ"

ด้าน โฮลเกอร์ บลาสก์ หนึ่งในคณะกรรมการบริหารของ เดเอฟเบ เผยว่า "การเซ็นสัญญากับ ไนกี้  เป็นผลมาจากขั้นตอนการประกวดราคาที่โปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ ไนกี้ ได้ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุด และเราประทับใจกับวิสัยทัศน์ของพวกเขา รวมถึงความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการสนับสนุนวงการกีฬาสมัครเล่นและระดับรากหญ้า ตลอดจนการพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงในเยอรมนี"

ทั้งนี้ "บิลด์" สื่อดังของเยอรมนี รายงานว่า สาเหตุหลักของการที่ เดเอฟเบ เปลี่ยนผู้สนับสนุนในครั้งนี้เนื่องมาจากการที่ ไนกี้ ยอมทุ่มเงินสนับสนุนมากถึงปีละ 100 ล้านยูโร ขณะที่ อาดิดาส ยื่นข้อเสนอสำหรับสัญญาฉบับใหม่เพียง 50 ล้านยูโรต่อปีเท่านั้น

นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของ ไนกี้ หลังห้ำหั่นชิงความเป็นหนึ่งด้านธุรกิจกีฬาของโลกมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

ไมเคิ่ล จอร์แดน ผู้ทำให้ Nike กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก "ไนกี้" มาทีหลังแต่ดังกว่า
สำหรับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์กีฬาทั้งสองเจ้านี้ อาดิดาส ถือกำเนิดขึ้นก่อน โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1949 และค่อยๆก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในด้านผลิตภัณฑ์กีฬาฟุตบอลของโลกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ ไนกี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1964 จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับรองเท้า Onitsuka Tiger ของญี่ปุ่น ก่อนพัฒนาจนมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง

ไนกี้ เริ่มขยับตัวสู่การเป็นแบรนด์กีฬาชั้นนำของโลก เมื่อได้เซ็นสัญญากับ ไมเคิ่ล จอร์แดน นักบาสอัจฉริยะตั้งแต่สมัยยังเป็นเพียงดาวรุ่ง และทั้งคู่ก็ช่วยกันสร้างรองเท้าบาส "Nike Air" จนโด่งดังเป็นพลุแตก สร้างยอดขายถล่มทลายไปทั่วโลก 

หรืออาจกล่าวได้ว่านั่นเป็นชัยชนะครั้งแรกของ ไนกี้ ที่มีเหนือ อาดิดาส ก็ว่าได้ เพราะจริงๆแล้ว ไมเคิ่ล จอร์แดน ชื่นชอบแบรนด์ คอนเวิร์ส และ อาดิดาส มากกว่า เนื่องจากใส่แข่งมาตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัยจนถึงโอลิมปิก แต่ อาดิดาส มีปัญหาภายในอย่างมากหลังจากที่สูญเสียผู้นำอย่าง อาดิ ดาสส์เลอร์  ไปในปี 1978 ทำให้ไม่พร้อมพิจารณาข้อเสนอให้แก่นักกีฬาหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้โอกาสแจ้งเกิด ไนกี้ จึงได้สิทธิ์คว้าสัญญากับ จอร์แดน ไปแทน

โรนัลโด้ "R9" กับ Nike Mercurial หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของนวัตกรรมการออกแบบรองเท้าสตั๊ด การห้ำหั่นกันในวงการลูกหนัง และ "จุดเปลี่ยน" ในกลางยุค 90
หากนับเฉพาะในวงการฟุตบอลช่วงทศวรรษที่ 70-80 ต้องยอมรับว่า อาดิดาส ยังครองความยิ่งใหญ่เหนือกว่า ไนกี้ อยู่หลายช่วงตัว โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งเป็นตลาดด้านฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากเป็นทวีปที่มีการแข่งขันระดับสโมสรที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากคนดูทั่วทุกมุมโลก 

อาดิดาส ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ฟุตบอลได้ด้วยการเซ็นสัญญากับ FIFA ในการเป็นสปอนเซอร์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1970 และก็มีสายสัมพันธ์ทั้งกับ FIFA และ UEFA เป็นอย่างดีมาตลอดนับจากนั้น ทั้งชุดแข่งของทีมชาติและสโมสร รวมถึงรองเท้าของนักฟุตบอลในยุคนั้น มากกว่า 80% ต่างใช้แบรนด์ของ อาดิดาส ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม กลางทศวรรษที่ 90 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ ไนกี้ ทำการวิเคราะห์การตลาดและมองเห็นจุดอ่อนของแบรนด์คู่แข่ง นั่นคือมองว่า อาดิดาส แม้จะมีสินค้าที่เต็มไปด้วยความคลาสสิค ใส่ได้ทุกยุคทุกสมัย แต่มันก็กลายเป็นการทำให้สินค้าดูน่าเบื่อสำหรับคนรุ่นใหม่ไปด้วย ดังนั้น ไนกี้ จึงเดินหน้ารุกคืบสู่กลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ สร้างวัฒนธรรมใหม่ในวงการฟุตบอลขึ้นมา โดยนำเอาแนวคิดใหม่ๆ ใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้สวมใส่มากขึ้น เช่น ออกแบบรองเท้าสตั๊ดให้เบาเป็นพิเศษสำหรับนักฟุตบอลสายสปีดที่อยากใช้ความเร็วของตัวเองให้เต็มที่ หรือการออกแบบรองเท้าที่เต็มไปด้วยสีสันแปลกตาเพื่อดึงดูดลูกค้าที่อยากออกนอกกรอบความคิดแบบเดิมๆ เป็นต้น พร้อมด้วยการทุ่มงบมหาศาลไปกับการเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนให้นักฟุตบอลชื่อดังระดับโลก

การรุกตลาดคนรุ่นใหม่และการทุ่มงบการตลาดแบบไม่อั้นของ ไนกี้ ได้ผลเป็นอย่างดี เนื่องจากกลายเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นไว้ได้ และยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เด็กรุ่นใหม่ก็ยังชื่นชอบในความแปลกตา ส่วนเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังผูกพันกับแบรนด์ตามเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยการมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น

และการค่อยๆเติบโตขึ้นของ ไนกี้ ก็ทำให้แบรนด์จากสหรัฐฯรายนี้ก้าวเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนชุดแข่งทีมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากการแข่งขันฟุตบอลโลกตลอดช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ที่มีทีมชาติใส่ชุดแข่งของพวกเขามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยศึกฟุตบอลโลกปี 1998 มีทีมชาติที่ใส่เสื้อของไนกี้ลงแข่งขันเพียง 6 ทีมเท่านั้น และกระโดดมาเป็น 8 ทีมในปี 2002, 9 ทีมในปี 2010, 10 ชาติในปี 2014, 12 ชาติในฟุตบอลโลก 2018, 13 ชาติในฟุตบอลโลก 2022

และกำลังจะเป็น 14 ชาติในฟุตบอลโลก 2030 หลังได้ "อินทรีเหล็ก" มาเป็นพันธมิตรรายล่าสุด

logoline