svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

รู้จัก "ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์" ผู้บริหารมือทองที่กำลังกลับมาสร้าง "ลิเวอร์พูล 2.0"

13 มีนาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์" ผู้บริหารคนดังแห่งวงการลูกหนัง กำลังจะกลับมารับงานให้ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง ในตำแหน่ง "CEO of football" ชายคนนี้มีความสำคัญอย่างไร และทำไมสาวกหงส์แดงถึงยินดีปรีดากับเรื่องนี้นัก?

โดยเมื่อวันอังคารที่ 12 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา "เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป" หรือ FSG เจ้าของทีม ลิเวอร์พูล แถลงข่าวการแต่งตั้ง "ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์" อดีตผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร ให้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ได้งานในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม โดยจะเป็นคนดูแลโครงสร้างและกลยุทธ์ด้านฟุตบอลทั้งหมด หรือจะเรียกง่ายว่าเป็น "ซีอีโอด้านฟุตบอล" ของ FSG ท่ามกลางความยินดีของแฟนบอลหงส์แดงที่จะได้ตัวนักบริหารผู้นี้กลับมาสร้างทีมอีกครั้ง หลังลาทีมไปเมื่อ 2 ปีก่อน

ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นใคร ทำไมแฟนบอลลิเวอร์พูลถึงชื่นชอบชายคนนี้ไม่ต่างจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ทั้งๆที่แทบไม่เคยออกสื่อให้เห็นเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

ผู้คลั่งไคล้ "ข้อมูล"
ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นๆที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอล นั่นคือมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยเขาได้เข้าไปฝึกฟุตบอลในทีมเยาวชนของ ปีเตอร์โบโร่ แต่ก็ไม่สามารถพัฒนาฝีเท้าสู่ทีมชุดใหญ่ได้ จนต้องกลับไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ในสาขาการจัดการธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อนจบมาทำงานเป็นครูสอนไอทีในโรงเรียนมัธยม

ปี 2003 ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ตอบรับคำชวนของเพื่อด้วยการย้ายไปทำงานให้กับบริษัท โปรโซน ผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลในวงการฟุตบอล ที่มีหลายสโมสรในอังกฤษเซ็นสัญญาร่วมงานกัน โดย เอ็ดเวิร์ดส์ ได้มีโอกาสทำงานด้านข้อมูลและวิเคราะห์เกมให้กับทีม พอร์ทสมัธ ที่มี แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เป็นผู้จัดการทีม 

แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือที่เคยร่วมงานกับ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ทั้งที่ พอร์ทสมัธ และ สเปอร์ส

ในยุคนั้น แทบไม่มีใครรู้จักกับการใช้ข้อมูลและสถิติเพื่อนำมาประยุกต์กับวงการฟุตบอลมาก่อน แต่ เอ็ดเวิร์ดส์ ได้นำศาสตร์ด้านนี้มาใช้อย่างจริงจังจนทำให้ทีมทำผลงานได้ดีขึ้นแม้จะไม่ได้มีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ จนทำให้เขาถูก ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ชักชวนไปทำงานด้วยในเวลาต่อมา ซึ่งคนชวนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ที่ย้ายไปคุมทีมดังแห่งลอนดอนนั่นเอง

หลังจากนั้นไม่นาน FSG ได้เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม ลิเวอร์พูล และต้องการใช้กลยุทธ์การสร้างทีมด้วยข้อมูลด้านสถิติต่างๆเหมือนกับที่ประสบความสำเร็จมาแล้วกับการทำทีม บอสตัน เร้ดซ็อกส์ ในศึกเมเจอร์ลีก เบสบอล ของสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ ดาเมียง โคมอลลี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฟุตบอลของลิเวอร์พูลในขณะนั้น จึงชักชวน ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ไปร่วมงานกับ ลิเวอร์พูล ในตำแหน่งคณะกรรมการซื้อขาย (Transfer Committee)

มิติใหม่ของการซื้อขายนักเตะ
ในวงการฟุตบอลช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้จัดการทีม มีภาระงานที่มากมายเกินกว่าจะไปปฏิบัติภารกิจมองหานักเตะที่น่าสนใจ รวมถึงการเจรจาซื้อขายผู้เล่นในต่างประเทศด้วยตัวเอง (ที่บางครั้งอาจกินเวลายาวนานหลายเดือน)  ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ จึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่จะเข้ามาช่วยงานด้านนี้แทน พร้อมด้วยทีมวิเคราะห์ โค้ช และ แมวมอง และบางครั้งก็เป็นตัวแทนของแผนกการตลาดของสโมสรด้วย

ข้อมูลและการวิเคราะห์ของ เอ็ดเวิร์ดส์ ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แต่โชคร้ายที่บางครั้งมันกลับกลายเป็นความขัดแย้ง โดยเฉพาะกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือลิเวอร์พูลในเวลานั้น ที่มักจะมองต่างกับข้อมูลของเอ็ดเวิร์ดส์อยู่เสมอ

โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ยกตัวอย่างเช่นการซื้อตัว โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จากฮอฟเฟ่นไฮม์ ที่ ร็อดเจอร์ส ไม่ได้อยากได้ตัว เพราะอยากได้ คริสติยอง เบนเตเด้ มากกว่า แต่ เอ็ดเวิร์ดส์ เกลี้ยกล่อมทุกฝ่ายจนคว้าตัวมาร่วมทีม อย่างไรก็ตาม ร็อดเจอร์สก็ไม่ได้ใช้งานอย่างจริงจัง จับโยกไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดบ้าง จับเป็นตัวสำรองบ้าง กระทั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายมาคุมทีม ฟีร์มิโน่ ถึงกลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้ง

หรือจะเป็นกรณีของ เดเล่ อัลลี่ ที่ลิเวอร์พูลพลาดได้ตัวเพราะข้อมูลของเอ็ดเวิร์ดส์ชี้ว่านักเตะรายนี้ไม่เหมาะกับทีม จนถูกหลายคนบนโต๊ะเจรจาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน ว่าหงส์แดงกำลังเอา "เด็กไอทีมาทำงานฟุตบอล"

การทำงานช่วงแรกกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจสำหรับทุกฝ่าย จนกระทั่งทีมทำผลงานแย่ลง สุดท้ายก็ต้องเป็น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ต้องอำลาทีมไป

ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ และ เจอร์เก้น คล็อปป์

ใช้ "ข้อมูล" ในการทำงานกับ "เจอร์เก้น คล็อปป์"
ในช่วงของการหาตัวกุนซือใหม่ ทีมงานของลิเวอร์พูลค่อยๆเคาะรายชื่อจนเหลือ 3 คนสุดท้าย ประกอบด้วย เอ็ดดี้ ฮาว, คาร์โล อันเชลอตติ และ เจอร์เก้น คล็อปป์

"อันเช่" คือกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน แต่ เอ็ดเวิร์ดส์ และทีมงานวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสถิติการซื้อตัวนักเตะของเขานั้นส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่ก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับกลยุทธ์การซื้อตัวของลิเวอร์พูลที่กำลังต้องการผู้เล่นอายุน้อยที่มีแววก้าวขึ้นไปเป็นผู้เล่นเกรดเอ

เอ็ดดี้ ฮาว ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้จัดการทีม บอร์นมัธ แม้จะยังไม่ค่อยมีชื่อเสียง แต่ก็ได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนานักเตะอายุน้อยและการเล่นฟุตบอลที่น่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตามเจ้าตัวไม่มีประสบการณ์ในถ้วยยุโรป และไม่เคยมีประสบการณ์ในการรับมือกับนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มาก่อน

แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ สอบผ่านทุกด้านที่กล่าวมาทั้งหมด เขาจึงกลายเป็นผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล จนถึงปัจจุบัน

และการทำงานของทั้งคู่เป็นไปได้ด้วยดี ข้อมูลของเอ็ดเวิร์ดส์ที่คอยป้อนให้ ถูกยอมรับจากคล็อปป์ อย่างรวดเร็ว และทั้งคู่ก็ช่วยกันสร้างลิเวอร์พูลให้กลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

       “มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก” คล็อปป์กล่าว “เขาเป็นคนมีความคิดมาก เราไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นแบบเดียวกันเสมอไปตั้งแต่วินาทีแรกของการสนทนา แต่เราจบการสนทนาเกือบทั้งหมดด้วยความคิดเห็นแบบเดียวกัน หรือความคิดเห็นที่คล้ายกัน”


ตัวอย่างเช่น คล็อปป์ อยากได้ตัว ยูเลี่ยน บรันท์ แนวรุกดาวรุ่งพุ่งแรงของ เลเวอร์คูเซ่น แต่เอ็ดเวิร์ดส์ให้ข้อมูลที่ชี้ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือนักเตะที่เหมาะสมกับทีมมากกว่า ซึ่งคล็อปป์รับฟังและตัดสินใจเชื่อใจเพื่อนร่วมงานของเขา สุดท้าย ซาลาห์ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนั้นถูกต้องแค่ไหน

ขึ้นชั้น "มือดีล" ระดับโลก
นอกจากเคสของ ซาลาห์ แล้ว ความสำเร็จของเอ็ดเวิร์ดส์ไม่สามารถวัดได้จากผู้เล่นที่ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ก็อยู่ที่การเจรจาขายผู้เล่นให้มีราคาดีที่สุด เพื่อนำมาแปรเปลี่ยนเป็นการคว้าขุมกำลังชุดใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้

เช่นการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 142 ล้านปอนด์ โดย เอ็ดเวิร์ดส์ ระบุในสัญญาปลีกย่อยอีกหลายด้าน หนึ่งในนั้้นคือการห้าม บาร์ซ่า ในการซื้อนักเตะหงส์แดง 2 ปี หากผิดสัญญา นักเตะรายใหม่ที่บาร์ซ่าต้องการจะต้องมีค่าตัวเพิ่มขึ้นอีก 80-100 ล้านปอนด์ เป็นต้น แถมค่าตัวอันมหาศาลของ คูตินโญ่ ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นการได้ตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ ในเวลาต่อมา

เอ็ดเวิร์ดส์ ยังจัดการขายนักเตะที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมด้วยราคาสูงเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นดาวรุ่งอย่าง จอร์ดอน ไอบ์ และแบรด สมิธ ที่ย้ายไปบอร์นมัธด้วยค่าตัวรวมกัน 21 ล้านปอนด์, เควิน สจ๊วร์ต ย้ายไปฮัลล์ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์, ขายนายทวารมือสองอย่าง แดนนี่ วอร์ด ให้เลสเตอร์ ได้ถึง 12.5 ล้านปอนด์, ขาย มามาดู ซาโก้ ที่มีปัญหาความประพฤติ ไปให้ คริสตัล พาเลซ ด้วยค่าตัวถึง 26 ล้านปอนด์ เป็นต้น

และผลงานของ เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ทำให้ ลิเวอร์พูล ของคล็อปป์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ด้วยการใช้งบประมาณที่น้อยกว่าทีมยักษ์ใหญ่รายอื่นหลายเท่าตัว

โดยตลอด 5 ปีก่อนการคว้าแชมป์ลีก ลิเวอร์พูลมีค่าใช้จ่ายสุทธิในการเสริมทัพเพียง 92.4 ล้านปอนด์ น้อยกว่าวัตฟอร์ด ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของไบรท์ตันหรือแอสตัน วิลล่า มีเพียงคริสตัล พาเลซ, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เซาธ์แฮมป์ตัน และนอริช ซิตี้ ที่มีการใช้จ่ายสุทธิน้อยกว่าในช่วงเวลานั้น เทียบกับ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ใช้เงินสุทธิไปถึง 505.6 ล้านปอนด์ มากกว่าลิเวอร์พูลถึงกว่า 5 เท่า

ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมลิเวอร์พูลถึงพยายามที่จะชักชวนให้ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมาที่สโมสร
ลิเวอร์พูล กับการก้าวสู่ยุคใหม่
อนาคตของ "ลิเวอร์พูล 2.0"
อย่างที่ทราบกันว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลหลังจากจบซีซั่นนี้ ทำให้ทุกฝ่ายต่างเป็นกังวลว่า แล้วอนาคตของทีมชุดนี้ ที่คล็อปป์เรียกว่า "ลิเวอร์พูล 2.0" จะเป็นอย่างไรต่อไป

เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่า หลังการจากไปของกุนซือระดับตำนาน ทีมของเขาเหล่านั้นต่างต้องพบกับความตกต่ำทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น แมนฯยูไนเต็ด หลังเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ อาร์เซน่อลหลังยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์

เช่นเดียวกับกรณีนักเตะซูเปอร์สตาร์ของทีมใดทีมหนึ่งที่หากย้ายออกไป ทีมนั้นก็จะมีผลงานที่แย่ลงหากโครงสร้างทีมไม่แข็งแกร่งพอ เนื่องจากนักเตะใหม่ที่เข้ามาแทนนั้นไม่สามารถรีดศักยภาพได้เทียบเท่า

FSG ในฐานะเจ้าของทีมลิเวอร์พูลก็เห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องการให้ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ เข้ามาดูแลโครงสร้างและกลยุทธ์ของทีมทั้งหมดให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เกิดผลกระทบที่น้อยที่สุดในยามที่ คล็อปป์ จากไป โดยงานแรกของ เอ็ดเวิร์ดส์ คือการเฟ้นหาตัว "ผู้อำนวยการฟุตบอล" คนใหม่ของลิเวอร์พูล ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น ริชาร์ด ฮิวจ์ส จากบอร์นมัธ จากนั้นในขั้นต่อไปคือ การหาตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มต้นอย่างจริงจังทันทีที่มีการยืนยันตำแหน่งผู้อำนวยการของสโมสรคนใหม่เรียบร้อย

ดังนั้นการดึงตัว เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมา ก็คือความต้องการที่จะทำโครงสร้างฟุตบอลให้แข็งแกร่ง เพื่อที่อนาคต สโมสรจะยังยืนหยัดอยู่ต่อไปได้แม้นักเตะหรือกุนซือจะเปลี่ยนหน้าไปก็ตามทีนั่นเอง

รู้จัก \"ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์\" ผู้บริหารมือทองที่กำลังกลับมาสร้าง \"ลิเวอร์พูล 2.0\"

logoline