
23 พฤศจิกายน 2568 ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้
วันนี้อยากจะขอทดลองเปิดประเด็นที่เป็นเรื่องทางด้านการอุดมศึกษาบ้าง เพราะในแวดวงการศึกษาไทยก็มักจะมีเรื่องให้เราชวนคิดเสมอ จึงอยากจะลองชวนเปิดประเด็นในเรื่องนี้ให้สังคมได้เห็นบางแง่มุมของมหาวิทยาลัยไทย
สำหรับสำนวนว่า “ผลัดกันเกาหลัง” นั้น อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยมากนัก สำหรับคนนอกวงการอุดมศึกษา แต่สำหรับคนที่อยู่ในงานบริหารมหาวิทยาลัยหรืองานสภามหาวิทยาลัยแล้ว สำนวนนี้เป็นที่รับรู้กันอยู่พอสมควร
ผลัดกันคัน-ผลัดกันเกา !
แต่เดิมผมเองไม่ใช่คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด จนเมื่อได้รับการสรรหาให้ดำรงตำแหน่ง “กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ” ของสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภูมิภาคแล้ว ผมจึงมีโอกาสได้สัมผัสกับคำนี้อย่างเป็นรูปธรรม จนเกิดคำถามถึงเรื่อง “ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส” ของการบริหารมหาวิทยาลัย เป็นอย่างมาก
สำหรับคำว่า “ผลัดกันเกาหลัง” ในวงการอุดมศึกษา มีความหมายคล้ายกับ “การฮั้ว” ทางการเมือง ที่มีนัยของการ “ต่างตอบแทน” ในเรื่องของตำแหน่งในมหาวิทยาลัย หรือความหมายที่ตรงไปตรงมา คือการที่ต่างฝ่ายต่างเลือกกันเองในกระบวนการสรรหาตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความสมปรารถนาของผู้กระทำทั้ง 2 ฝ่าย และจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างมีตำแหน่งตอบแทนให้แก่กันและกัน เสมือนเรื่องจบแบบ “happy ending” เพราะต่างก็ได้ผลตอบแทนไปด้วยกัน
คำอธิบายเช่นนี้ อาจจะยังเป็นนามธรรมสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวในมหาวิทยาลัย ดังนั้น จึงอยากจะขยายความให้สังคมได้เห็นถึงความเป็น “แดนสนธยา” ของมหาวิทยาลัยในบางแง่มุม
โครงสร้างของการบริหารมหาวิทยาลัยมีองค์ประกอบที่สำคัญในเบื้องต้น 2 ส่วน คือ สภามหาวิทยาลัยที่มีนายกสภาฯ เป็นประธาน และฝ่ายบริหารที่มีอธิการบดีเป็นผู้นำ
ปัญหามักจะเริ่มต้นเมื่ออธิการบดีมีสภาวะ “ไม่มั่นคงทางใจ” หรือเกิดอาการ “insecure” ไม่ว่าจะเกิดจากความไม่เก่งในการบริหาร หรือเกิดความไม่โปร่งใส หรือเกิดความกลัวต่อการตรวจสอบและการประเมิน ซึ่งอาการเช่นนี้ จะทำให้ฝ่ายบริหารเริ่มคิดในแบบ “รัฐบาลเผด็จการ” กล่าวคือ จะต้องดำเนินการในลักษณะที่เรียกในวิชารัฐศาสตร์ว่า “การกระชับอำนาจ” (power consolidation) อันมีนัยถึงการเริ่มสร้าง “ฐานการเมือง” ในมหาวิทยาลัย
อีกทั้งในภาวะเช่นนี้ ฝ่ายบริหารที่ทำงานในปีที่ 1 หรือ 2 จะไม่ขัดแย้งกับสภามหาวิทยาลัย แต่พอมาถึงราวปีที่ 3 หรือ 4 ก็เริ่มมั่นใจว่า พร้อมแล้วที่จะตั้งตัวเองเป็น “ผู้นำสูงสุด” เพราะหลังจากบริหารมาไม่กี่ปี กระแสมักจะมาพร้อมกับ “การอวย” กันเอง จนคิดว่า มหาวิทยาลัยเป็น “บริษัทส่วนตัว” ที่เขาจะต้องเป็นคนเลือกคณบดีทุกคนได้ตามใจตนเอง และจะต้องเป็น “เครือข่ายอธิการ” เท่านั้น จึงจะเป็นคณบดีได้ หรือคนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการสภาฯ ก็มีลักษณะเป็น “เครือข่ายอธิการ” ไม่แตกต่างกัน เพื่อสอดรับกับการสร้างฐานอำนาจที่เกิดขึ้น
ปัญหาอาจจะเริ่มเหมือนไม่มีอะไร เช่น ในเชิงหลักการแล้ว อาจารย์ที่เป็นกรรมการสรรหาอธิการ ไม่ควรได้รับการสรรหาเป็นคณบดี เพราะการทำเช่นนั้น ชี้ชัดในตัวเองว่า เป็นการ “ต่างตอบแทน” และเป็นการรับตำแหน่งในแบบ “เธอเลือกฉัน-ฉันเลือกเธอ” แต่ในทางปฏิบัติ เกิดการกระทำในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นด้านจริยธรรม เพราะเชื่อในอำนาจที่ตนมี
ช่วยกันเกา !
แต่เมื่อถูกทักท้วงว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าว เป็นการต่างตอบแทนหรือไม่ เขาก็จะอ้างว่า ผลการสรรหาไม่ได้มาจากการเลือกของอธิการบดีโดยตรง จึงไม่อาจนำมาเป็นข้อโต้แย้งได้ ทั้งยังกล่าวด้วยข้ออ้างสารพัดว่า การเลือกแบบต่างตอบแทนดังที่กล่าวแล้วนี้ ไม่เข้าข่ายประเด็นเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (conflict of interes)
อยากจะขออุทานว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทำแบบนี้ “ช่างสะอาดเสียเหลือเกิน !” (และต่างอย่างไรกับนักการเมืองที่ “เล่นสกปรก” เรื่องอำนาจที่พวกอาจารย์ชอบวิจารณ์กัน)
การกระทำเช่นนี้ในอีกด้านหนึ่ง จะมีผู้เชีี่ยวชาญด้านกฎหมายทำหน้าที่เป็น “ทนายแก้ต่าง” ว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ผิดจริยธรรม และทั้ง “บรรดาทนายหน้าหอ” เหล่านี้ จะออกมายืนยันว่า เมื่อไม่มีข้อกำหนดบังคับไว้ไม่ให้ผู้ที่เป็นกรรมการสรรหาอธิการเข้ารับการสรรหาเป็นคณบดี การทำเช่นนี้จึงเป็นความถูกต้อง เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติที่เป็น “ข้อห้าม” ทั้งที่สามารถตอบได้ด้วย “สามัญสำนึก” ง่ายๆ ได้ว่า สิ่งนี้คือ “การเล่นพรรค-เล่นพวก” ที่เกิดในโครงสร้างการบริหารของมหาวิทยาลัย
ผลในกรณีนี้ กล่าวสรุปง่ายๆ ได้ว่า สำหรับอาจารย์ผู้ที่เป็นคนเลือกอธิการ และเมื่ออธิการได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งแล้ว อธิการก็จะเลือกอาจารย์ท่านนั้น ขึ้นเป็นคณบดี … นี่คือ “อาการคันหลัง” ที่เขาช่วยกันเกาในมหาวิทยาลัย หรือเป็นการ “ต่างตอบแทน” ที่ชัดเจน
รัฐประหารในมหาวิทยาลัย !
ในกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ยังมีประเด็นเพิ่มเติมว่า เมื่ออธิการได้รับการสรรหาแล้ว แต่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้น และคดีอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์ของศาลปกครอง สถานะของอธิการบดี จึงเป็นเพียง “ผู้รักษาราชการ“ จึงมีนัยอย่างสำคัญว่า กระบวนการสรรหาที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ยังมิได้สิ้นสุดลง เพราะยังต้องรอการชี้ขาดของศาลฯ
ดังนั้น การเลือกอาจารย์ที่เป็นกรรมการสรรหาอธิการบดีเป็นคณบดีในกรณีเช่นนี้ จึงน่าจะเป็นภาพสะท้อนของการต่างตอบแทน หรือเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนที่ชัดเจนในตัวเอง หรือเรียกในวงการอุดมศึกษาว่า “ผลัดกันเกาหลัง”
นอกจากนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าฉงนใจ เมื่อพบว่าเส้นทางของการเป็นคณบดี มีที่มาจากการที่บุคคลผู้นั้นเคยเป็นรองอธิการ หรือเป็นผู้ช่วยอธิการมาก่อน หรือบางรายมีความสัมพันธ์ฉันท์สามี/ภรรยากับผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านั้น ถ้าเราเรียกปัญหาในการเมืองไทยที่เราไม่ต้องการเห็นว่า บุคคลที่มีตำแหน่งวนเวียนในการมีความสัมพันธ์แบบครอบครัวว่า “สภาผัวเมีย” เราควรจะเรียกการมีฝ่ายบริหารในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ว่าอย่างไรดี
ในอีกด้านของกระบวนการกระชับอำนาจจึงต้อง “ยึดอำนาจสภา” ด้วยการผลักดันให้คนที่เกี่ยวข้องและ/หรือมีความสนิทชิดเชื้อกับอธิการ เข้ามาเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แม้การสรรหาจะเป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลในการคัดเลือกตัวบุคคล แต่ถ้าอธิการตัดสินใจจะทำ “รัฐประหารสภา” แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะมีกรรมการที่ได้รับการสรรหาเข้ามาเป็นพวกแล้ว แม้กรรมการบางคนที่ได้รับการคัดมา อาจมีประเด็นคำถามถึงความโปร่งใสก็จะถูกละเลยไปโดยไม่ใส่ใจ เพราะกรรมการเหล่านี้คือ ฐานอำนาจที่นับเป็น “คะแนนเสียง” ในการประชุมสภามหาวิทยาลัย
ดังนั้น ขั้นตอนแรกของการ “ยึดอำนาจสภา” ในมหาวิทยาลัย มักจะเริ่มการผลักดันคนของตนเข้ามาให้เป็นผู้ได้รับการสรรหา เมื่อมีคนของตนเข้ามานั่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในจำนวนที่คุมเสียงในสภามหาวิทยาลัยได้แล้ว การกระชับอำนาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป อธิการบดีในเชิงอำนาจจะกลายเป็น “ท่านผู้นำ” ไปโดยทันที และการสรรหาคณบดี และรวมถึงการสรรหากรรมการสภา ก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ “ท่านผู้นำ” ไปอย่างไม่มีข้อสงสัย หรือทำให้คนที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาจะต้องเป็น “เครือข่ายท่านผู้นำ” เท่านั้น
ในสภาวะเช่นนี้ กระบวนการสรรหาที่เกิดขึ้น ก็ไม่ต่างกับการเลือกตั้งในประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ผู้นำสูงสุดสามารถ “ชี้นิ้ว” กำหนดได้ว่า จะเลือกใคร … จนอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า การเลือกตั้งทางการเมืองในเกาหลีเหนือ ก็คงประมาณนี้ ซึ่งสภาพเช่นนี้ ทำให้คนในประชาคมเองไม่กล้าลุกขึ้นมาประท้วงถึง “ความไม่ชอบมาพากล” ที่เกิดในบ้านตัว หรือใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบเป็น “ผู้ดู” เท่านั้น
ความบิดเบี้ยวของระบบ !
ผลของปัญหาเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า กระบวนการสรรหาจะไม่สามารถทำหน้าที่กลั่นกรองในการเลือกบุคคลที่เหมาะสมในการดำรงในมหาวิทยาลัยได้เลย เพราะเกิดการ “ฮั้ว” ในลักษณะต่างตอบแทนโครงสร้างระดับบนของมหาวิทยาลัย หรือเกิดอาการ ”ต่างผลัดกันเกาหลัง“ กันอย่างสนุกสนาน
สภามหาวิทยาลัยในภาวะเช่นนี้ จึงเป็นได้แค่ “ตรายาง” ไม่ใช่สภาฯ ที่จะเป็นองค์กรในการตรวจสอบและถ่วงดุลในการบริหารมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ทั้งยังมีสภาวะที่ “คนใน” ประชาคมไม่กล้าแสดงออก (ไม่สู้!) เพราะกลัวการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร
ปัญหา “การผลัดกันเกาหลัง” ที่เป็นภาพสะท้อนของ “ความไร้ธรรมาภิบาล-ไม่โปร่งใส” ในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ จึงอยากจะขอฝากเป็นการบ้านให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพราะหากปล่อยไว้นานวัน มหาวิทยาลัยจะกลายเป็นเพียง “แดนสนธยา” แห่งอำนาจไปได้ไม่ยาก และแดนสนธยาเช่นนี้มักจะตามมาด้วยการหาผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอนาคต เช่น การก่อสร้างในมหาวิทยาลัย การจัดซื้อจัดจ้าง การจัดซื้อจัดหา และอื่นๆ
สุดท้ายแล้ว มีคำถามชวนคิดในทางการเมืองว่า รัฐมนตรี อว. จะเข้ามาช่วยเปิดประตูให้แสงสว่างเข้ามาในแดนสนธยานี้ ได้บ้างหรือไม่ !