
จากกรณีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2568
28 ตุลาคม 2568 รศ.ดร.จารุประภา รักพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงปมร้อนดังกล่าวว่า ในช่วงเวลาอันใกล้หรืออย่างน้อยคือในปีนี้
ไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน
เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งการไม่มีกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่
และกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงไม่มีความพร้อมด้านการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน
นอกจากนี้ รัฐบาลในปัจจุบันถือเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาทำภารกิจตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงไม่เหมาะสมที่จะผลักดันในการให้สัมปทานเพื่อผลิตหรือการขุดแร่แรร์เอิร์ธแก่ประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการนำเข้าแร่จากประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตต่อด้วย หากต้องผลักดันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนถกเถียงและมีมติเห็นชอบจากรัฐสภาตามกระบวนการ ฉะนั้นรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่าในการผลักดันการให้สัมปทาน
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้และควรทำ คือการเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นการสำรวจที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษพร้อมทั้งรับเอาการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ ทั้งจากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอเช่นกัน
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า MOU ว่าด้วยความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธที่ไทยทำกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลผูกพันเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ฉะนั้นหากมีการเจรจารายละเอียดเรื่องนี้กันอีกครั้ง ประเทศไทยควรแสดงท่าทีว่าไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ไทยยังเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือจีน โดยหลักการสำคัญคือขึ้นอยู่กับข้อเสนอว่าประเทศใดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งข้อเสนอที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมาตรการเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วย หากไทยสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางเหล่านี้ที่ไม่ได้อิงไปทางสหรัฐฯ มากนัก ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศและเป็นการสะท้อนไปยังจีนว่าไทยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทางการค้าไปยังสหรัฐฯ มากเกินไป
“สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับเพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งกำลังสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับแม่น้ำกกของไทยในเวลานี้ โดยในกรณีที่ผู้ประกอบการไทยมีการนำเข้าแร่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำมาผลิตต่อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของแร่ในไทย จะต้องไม่เป็นแร่ซึ่งมีที่มาจากเหมืองแร่ที่สร้างมลพิษทางน้ำและทางอากาศให้ไทย หากตรวจสอบย้อนกลับแล้วพบว่ามีที่มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ก็ควรจะยุติการนำเข้าทันที เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไข” รศ.ดร.จารุประภา กล่าว
ผลกระทบการ "ถลุงแร่แรร์เอิร์ธ" อันตรายต่อคนและโลกแค่ไหน?
จากการค้นข้อมูล พบว่าการถลุงแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements - REEs) ส่วนใหญ่มักเป็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เนื่องจากกระบวนการทำเหมืองและการสกัดแร่เหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องใช้สารเคมีในปริมาณมาก รวมถึงแร่บางชนิดอาจปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี
ผลกระทบหลักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
การปนเปื้อนของน้ำและดิน
* กระบวนการสกัดแร่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษ เช่น กรดและตัวทำละลาย (เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หรือ แอมโมเนียมคลอไรด์) เพื่อชะล้างแยกแร่
* สารเคมีเหล่านี้ รวมถึงโลหะหนักและกากแร่ (tailings) อาจรั่วไหล หรือถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และดิน ทำให้เกิดมลพิษในระยะยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนที่อาศัยน้ำและดินเหล่านั้น
กากแร่ที่มีกัมมันตรังสี
* แร่แรร์เอิร์ธมักพบปะปนกับวัสดุกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ เช่น ทอเรียม (Thorium) และยูเรเนียม (Uranium)
* การทำเหมืองและการแปรรูปจะปลดปล่อยวัสดุกัมมันตรังสีเหล่านี้ออกมา ซึ่งต้องมีการจัดการกากแร่และตะกอนอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
มลพิษทางอากาศ
* มีการปล่อยฝุ่นและก๊าซอันตรายในระหว่างการขุด การบดแร่ และการแปรรูป ซึ่งอาจลดทัศนวิสัยและส่งผลต่อสุขภาพปอดของคนงานและชุมชนใกล้เคียง
การทำลายระบบนิเวศ
* การทำเหมืองแบบเปิด (Open-pit mining) หรือการขุดหน้าดินเพื่อนำแร่ไปแปรรูป ทำให้เกิดการทำลายป่าและถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า และทำให้พื้นที่อ่อนไหวต่อการกลายเป็นทะเลทราย
ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์
* การสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นพิษ, โลหะหนัก และวัสดุกัมมันตรังสีจากฝุ่น, น้ำดื่ม, หรือการปนเปื้อนในพืชผล อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาว รวมถึงความผิดปกติของอวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกาย
โดยสรุปแล้ว
"แม้ว่าแร่แรร์เอิร์ธจะเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่งที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แต่กระบวนการผลิตก็มีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรงหากขาดการควบคุมและจัดการอย่างเคร่งครัด"
แหล่งอ้างอิงหลัก
1. Institute for Environmental Research and Education (IERE). “What impact does mining rare earth elements have?” — กล่าวถึงผลกระทบหลายด้าน เช่น มลพิษทางน้ำ, มลพิษทางอากาศ, ดินเสื่อม, ขยะกัมมันตรังสี
2. The Environmental Literacy Council. “What-impact-does-mining-rare-earth-elements-have?” — สรุปประเด็นผลกระทบ เช่น การทำลายถิ่นที่อยู่, น้ำเสีย, ฝุ่น/ก๊าซ, ขยะกัมมันตรังสี
3. Martin, A. & Iles, A. “The Ethics of Rare Earth Elements” — วิเคราะห์ว่าการสกัด REEs มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสุขภาพสาธารณะอย่างไร
4. “Abundance, distribution, and ecological/environmental risks of critical rare earth elements (REE) in phosphate ore, soil, tailings, and sediments” (Journal of Soils and Sediments, 2024) — งานวิจัยที่ศึกษาการสะสมของ REEs ในดิน, ตะกอน, ขยะเหมือง และประเมินความเสี่ยงทางนิเวศน์/สิ่งแวดล้อม
5. “Human and environmental exposure to rare earth elements in gold mining areas in the northeastern Amazon” — วิจัยในพื้นที่เหมืองทองคำที่มีการปนเปื้อน REEs โดยวิเคราะห์ดินและของเสียเหมือง พร้อมประเมินความเสี่ยงทางนิเวศน์และสุขภาพ
6. “Dirty, toxic, radioactive: Working in the mining sector” — รายงานจาก Deutsche Welle (DW) ถึงกรณีเหมืองแรร์เอิร์ธในเมือง Baotou มณฑล อิเนอร์ มองโกเลีย จีน ที่มีปัญหาขยะกัมมันตรังสีและมลพิษ
ภาพและข้อมูลตจาก law.tu.ac.th