
แม้สงครามจะนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่ในความสูญเสียกลับสะท้อนถึง ความกล้าหาญและความเสียสละ อันยิ่งใหญ่ของเหล่า ทหารผ่านศึก ผู้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อ ปกป้องแผ่นดินไทย ทหารผ่านศึกถือเป็น เสาหลักของประวัติศาสตร์ชาติไทย และเป็นสัญลักษณ์ของ ความมั่นคงและอิสรภาพ ที่คนไทยได้รับในปัจจุบัน ด้วย จิตวิญญาณแห่งการเสียสละ พวกเขาได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่ต่อไป
ประวัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.)
ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้ส่งกำลัง ทหารไทย เข้าร่วมรบใน สงครามมหาเอเชียบูรพา และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ทหารจำนวนมากถูกปลดประจำการโดยไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้เกิดปัญหาในการดำรงชีวิตของพวกเขาและครอบครัว
เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลไทยจึงจัดตั้ง องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ภายใต้การดูแลของกระทรวงกลาโหม องค์กรนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและสนับสนุนทหารผ่านศึก รวมถึงครอบครัวของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 อผศ. ได้รับการปรับปรุงบทบาทเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้เสียสละในสงครามเพิ่มเติม รวมถึงทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และประชาชนที่มีส่วนร่วมในการป้องกันภัยต่อความมั่นคงของชาติ พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังคงใช้เป็นกฎหมายสำคัญจนถึงปัจจุบัน
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ: สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ประวัติศาสตร์ทหารไทย ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นสัญลักษณ์ของ ความกล้าหาญของเหล่าทหารผ่านศึก อนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรชนที่เสียชีวิตจาก สงครามอินโดจีน (พ.ศ. 2483-2485), สงครามโลกครั้งที่ 2, และ สงครามเกาหลี
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485 โครงสร้างของอนุสาวรีย์เป็นรูป ดาบปลายปืน 5 เล่ม รายล้อมด้วยรูปปั้นนักรบ 5 เหล่า ได้แก่ ทหารบก, ทหารเรือ, ทหารอากาศ, ตำรวจ และพลเรือน ที่ร่วมเสียสละเพื่อปกป้องประเทศชาติ
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถูกสร้างขึ้นเพื่อจารึกรายนามของทหารหาญและวีรชนที่เสียชีวิตใน สงครามข้อพิพาทแย่งดินแดนระหว่างไทยและฝรั่งเศส รวมทั้งทหารที่เสียชีวิตใน สงครามมหาเอเซียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) และสงครามเกาหลี เป็นอนุสาวรีย์กลางเพื่อเทิดทูนวีรชนผู้สละชีพเพื่อชาติทั้งปวง และเพื่อเตือนใจชาวไทยให้ระลึกว่า ชาติไทยนั้นดำรงเอกราชและรักษาความมั่นคงของชาติอยู่ได้ด้วยบรรดา วีรชนนักรบไทย ผู้ซึ่งได้เสียสละชีพเพื่อชาติตลอดมา
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485 อนุสาวรีย์แห่งนี้ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับศิลาอ่อน มีรูปทรงเป็นดาบปลายปืน 5 เล่ม มีความสูงประมาณ 50 เมตร รอบดาบปลายปืนมีรูปปั้นนักรบ 5 เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ยืนล้อมรอบอยู่ บริเวณใต้รูปปั้นมีแผ่นทองแดงซึ่งเป็นที่จารึกรายชื่อของผู้เสียชีวิต และผู้สละชีพเพื่อชาติจากสงครามต่างๆ ตั้งแต่ พ.ศ.2483-2497 รวมทั้งสิ้น 801 นาย และมีคำขวัญประจำอนุสาวรีย์ว่า "ใครจะจารึกชื่อในอนุสาวรีย์ก่อนกัน"
ดอกป๊อปปี้สีแดง: สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญและเสียสละ
ดอกป๊อปปี้สีแดง ถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันทหารผ่านศึก ทั่วโลก สีแดงของดอกไม้สะท้อนถึง ความกล้าหาญ, ความรักชาติ, และการเสียสละ ที่มิอาจลืมเลือน ในประเทศไทย องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดกิจกรรมจำหน่ายดอกป๊อปปี้เพื่อหารายได้สนับสนุนทหารผ่านศึกและครอบครัว
วิธีร่วมรำลึกถึงทหารผ่านศึก
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี เราสามารถแสดงความเคารพและให้การสนับสนุนทหารผ่านศึกได้หลายวิธี เช่น:
โดยสรุปแล้ว
วันทหารผ่านศึก เป็นวันที่เราทุกคนควรระลึกถึง ความกล้าหาญและเสียสละของทหารไทย ที่ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ให้คงอยู่ หากไม่มีพวกเขา ความสงบสุขและอิสรภาพของชาติไทย อาจไม่ยั่งยืนถึงปัจจุบัน การให้เกียรติและช่วยเหลือทหารผ่านศึกจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน เพื่อให้พวกเขาได้รับการดูแลที่เหมาะสม และเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศในปัจจุบัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง / หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี / องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์