9 กันยายน 2567 จากกรณี มีผู้เสียหาย เข้าขอความช่วยเหลือ กับเพจสายไหมต้องรอด หลังไปรักษาอาการตาแดงกับเจ็บคอ กับ รพ.เอกชนชื่อดัง แต่หมอวินิจฉัยโรคผิด ฉีดยาแก้แพ้ให้ 3 ครั้ง จนเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเป็นโรคอาการสตีเวนส์จอห์นสัน หรือความผิดปกติของผิวหนัง และเยื่อเมือกบุผิวชนิดรุนแรง ต้องส่งเข้าห้องไอซียู นอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนาน 3 เดือน และต้องทนทุกข์กับสภาพใบหน้าที่เสียโฉม ตามองไม่เห็นใกล้บอด ต้องตกงาน โรงพยาบาลกลับไม่รับผิดชอบ รับผิดชอบเพียงแค่ให้กลับมารักษาตามอาการ
ล่าสุดวันนี้ (9 ก.ย.) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมทีมงาน พาผู้เสียหาย 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาแล้วเกิดการแพ้ยา จนเป็นโรคอาการสตีเวนส์จอห์นสัน เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข
นายเอกภพ ระบุว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาเอาผิดโรงพยาบาล แต่อยากได้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา เพื่อมารักษาให้หายปกติ และกลับไปประกอบอาชีพได้ เพราะผู้เสียหายทั้ง 2 คนมีปัญหาเรื่องตามาก คนแรกทำงานไอที วัย 31 ปี ตามองไม่เห็นแล้ว 1 ข้าง อีก 1 คน ตามองเห็นแค่ 40%
และอีกปัญหาคือเรื่องผิวหนัง ที่อยากให้หมอมาช่วยดูแล เพราะเริ่มเป็นพังผืด และระหว่างที่ทำการรักษา อยากให้ รพ. ทั้ง 2 แห่ง มาพูดคุยถึงขั้นตอนเยียวยาและการรักษา เพราะหลังออกจาก รพ. ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ต้องมาทำการรักษาเอง ย้ำว่าผู้เสียหายไม่ได้มีเจตนามาเอาเงิน แต่อยากได้รับการช่วยเหลือ
ขณะที่ ผู้เสียหาย ที่เป็นสาวไอที วัย 31 ปี เล่าว่า เริ่มต้นเป็นตาแดงวันที่ 20 มิ.ย. เข้าไปหาหมอที่ รพ.แห่งแรก หมอบอกเป็นทอมซิล และให้มาฉีดยาให้ครบ 3 เข็ม หลังจากฉีดยาก็กลับบ้าน พอกลับบ้านเริ่มมีไข้หนาวสั่น และมีผื่นขึ้นตามตัว ใบหน้า และปาก จึงรอวันถัดไป เพื่อไปฉีดยาที่ รพ. พอหมอเห็นอาการก็บอกว่า ผิดปกติจึงส่งไปหาหมอเฉพาะทาง หมอบอกแพ้ยา แล้วก็แอดมิดวันที่ 21 มิ.ย.
ระหว่างนั้นก็ยังฉีดยาเข็มแรกเหมือนเดิม พอหลังจากฉีดยาตัวนั้นตาพล่ามัว มองไม่เห็นหนักกว่าเดิม จึงเข้าไอซียู รักษาตัว 21 - 26 มิ.ย. ก่อนหมอแจ้งญาติว่า เป็นสตีเวนส์จอห์นสัน อาการโคม่า จึงส่งไปรักษาตัวที่ รพ.แห่งที่สอง ใช้วิธีการรักษา คือ ลอกผิวที่ตายแล้ว พันผ้า ห้ามออกแรง พร้อมแจ้งว่า เสี่ยงตาบอด 80% ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดใส่รกที่ตา ตนอยู่ รพ. แห่งที่ 2 เป็นเวลา 2 เดือน ก็กลับมารักษาที่ รพ. แห่งแรกอีก 3 สัปดาห์ เพิ่งจะผ่าตัดใส่รกตาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สิ่งที่รู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะ รพ. แรกลืมส่งตัวไปผ่าตัด รพ. ที่ 2 และให้ไปซื้อรกตาที่สภากาชาดเอง แล้วรอผ่าตัด พอตนไปติดต่อ รพ. ที่ 2 แจ้งว่า ยังไม่ได้รับเรื่องจาก รพ. แรก ทำให้รู้สึกกังวล แต่ดัวยความอนุเคราะห์จาก รพ. ที่ 2 ในการไปซื้อรกตาให้ ทำให้ได้รับการผ่าตัด
ยอมรับว่า ทุกวันนี้มีผลกระทบชีวิตทุกอย่าง ต้องหยอดตาทุก 1 ชม. และการใช้ชีวิต ต้องมีคนคอยพยุงเดิน สิ่งที่องการมากที่สุดตอนนี้คือเรื่อง "ดวงตา เพราะกลัวตาจะบอด" และการรักษา รพ. ก็บอกต้องไปรักษาเอง มีเรื่องปากที่ไม่เท่ากันด้วย ก่อนออกจาก รพ. ตนก็แจ้งไปแล้วเพื่อให้หาทางรักษา แต่กลับไดรับแจ้งว่า "ให้รักษาตามสิทธิประกันสังคม ไม่ได้รับผิดชอบการรักษาใดๆ"
ขณะที่ คุณเตย อายุ 35 ปี ผู้เสียหายอีกราย ซึ่งมีอาการเหมือนกัน แต่รักษากันคนละ รพ. กับผู้เสียหายรายแรก เล่าว่า ในช่วงเริ่มแรกตนมีไข้สูง วันที่ 30 ก.ค.ไปพบหมอที่ รพ. แห่งแรก หมอตรวจไข้หวัดใหญ่ไม่พบ ตรวจเลือด ฉีดยา 1 เข็ม และให้ยาฆ่าเชื้อกลับบ้าน คืนนั้นก็กินยาฆ่าเชื้อไป ตื่นเช้ามารู้สึกแสบตา และเจ็บในช่องปาก จึงทานข้าวทานยาอีก 1 เม็ด
พอช่วงสายๆ ตาแดง เจ็บในปาก หน้าแดง มีตุ่มขึ้น ไข้สูง ก็กลับไปหาหมอที่ รพ.เดิม พอหมอเห็นมีตุ่มเลยส่งไปพบแพทย์ผิวหนังวินิจฉัยว่า น่าจะเป็นเริม เลยตรวจปัสสาวะ เจาะน้ำที่ตุ่มในปากไปตรวจ ก็ไม่พบ ตนจึงแจ้งหมอว่า น่าจะแพ้ยาหรือไม่ แต่หมอบอกว่า ไม่น่าจะใช่
จากนั้นพอกลับบ้าน อาการออกชัดขึ้นเรื่อยๆ เลยไปพอหมอ รพ. ที่ 2 ซึ่งตอนนั้นไข้สูง หมอวินิจฉัยว่า น่าจะแพ้ยาหรือไม่ ก็เลยแอดมิดที่ รพ.ที่ 2 ซึ่งตนได้ติดต่อ รพ. แรกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับผิดชอบใดๆ ทั้งนี้ยอมรับว่า กรณีที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบการทำงาน และสายตาไม่ได้กลับมา 100% รวมถึงยังเป็นแผลเป็นครึ่งตัว แล้วเดี๋ยวเล็บจะหลุดด้วย
หลังจากที่ นายธนกฤต รับเรื่อง กล่าวว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 ราย มีผลกระทบด้านดวงตา เพราะมีข้อสงสัยยาที่นำไปฉีดว่า มีมาตรฐานหรือไม่ , การรักษาเป็นไปตามเวชปฏิบัติด้วยหรือไม่ , ในเวชระเบียนมีการลงรายละเอียดการรักษาไว้อย่างไร, รวมถึงมีการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างไร
ตนได้มอบหมายให้ รพ.พระนั่งเกล้า ไปตรวจสอบจอประสาทตาโดยเร่งด่วนว่า จะสามารถกู้กลับมาได้หรือไม่ อีกทั้งยังได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมสุขภาพ จัดชุดลงพื้นที่ตรวจสอบ รพ. ทั้ง 2 แห่ง ที่ผู้เสียหายไปรับการรักษา ร่วมกับ อย.เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ยาว่า ได้รับมาตรฐานหรือไม่ ในช่วงบ่ายวันนี้ (9 ก.ย.)
ส่วนกระบวนการรักษา ต้องย้อนไปดูตั้งแต่เวชระเบียน และทางกรมฯ มีอำนาจหน้าที่ในการไปตรวจ รพ.เอกชน อยู่แล้ว จึงมอบหมายให้แพทย์ อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เข้าไปตรวจสอบ จะต้องมีการสอบสวนเกิดขึ้น
ส่วนกรณีการแพ้ยา เป็นเรื่องปกติที่ต้องถูกถาม แต่บางคนก็ไม่เคยแพ้ยามาก่อน ก็จะไม่ทราบว่าแพ้ยาอะไร ส่วนกรณีที่เข้าไปรักษาอีกรอบแล้ววินิจฉัยว่า เป็นอีสุกอีใส ก็ต้องดูทางกายภาพ ในการวินิจฉัย จะต้องไปตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรม และจะต้องตรวจสอบว่า เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือไม่ หรือเกิดจากร่างกายผิดปกติ
"วันนี้จะยังไม่ฟันธงว่า เกิดจากการรักษาที่ผิดพลาดหรือไม่ แต่ความจริงต้องปรากฎ เพื่อความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย อีกทั้งจะให้ความช่วยเหลือข้อกฎหมายว่า เป็นการละเมิดต่อตัวผู้รักษาหรือไม่อย่างไร เพราะเบื้องต้นทาง รพ. จะต้องรับผิดชอบการรักษา ในการเจ็บป่วยของผู้เสียหายทั้ง 2 คน ตามหลักมนุษยธรรม"
ยืนยันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดจากการรักษาทั้งหมด หากย้อนกลับไป แม้อาจจะทำเวชปฏิบัติถูกต้อง แต่โรงพยาบาลก็ต้องรับผิดชอบการรักษา มากกว่าสิทธิประกันสังคม และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเวชระเบียนการรักษาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะหากเปลี่ยนแปลงเวชระเบียนจะมีความผิด ในฐานทำเอกสารเท็จ
ด้าน แพทย์หญิงจันทิรา แก้วสัมฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยด้านการแพทย์ฉุกเฉิน รพ.พระนั่งเกล้า บอกเพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้ป่วยโรคกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน สาเหตุสามารถเกิดจากยา หรือเกิดจากเชื้อไวรัส หรือเกิดจากมะเร็ง เป็นได้ทั้ง 3 อย่าง
กรณีของผู้เสียหายก็จะต้องตรวจสอบว่า สาเหตุเกิดจากอะไร โดยทางกระทรวงสาธารณสุข จะดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุด และกรณีแบบนี้มีเกิดขึ้นได้ และเจอได้เรื่อยๆ เพราะแต่ละคนเกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และการติดเชื้อบางอย่าง
ยอมรับว่า การเกิดโรคนี้จะบอกได้ยาก เพราะสาเหตุที่มากระตุ้นต่างกัน ถ้าเกิดขึ้นมาแลัว ต้องรักษาให้ดีที่สุด ส่วนของยาประเภทไหนที่จะทำให้เกิดโรคนั้น แพทย์หญิงจันทิรา บอกว่า สามารถเป็นได้หลายชนิด ทั้งกลุ่มยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ และยาอื่นๆ แล้วแต่ร่างกายและภูมิคุ้มกันของบุคคล
จากนั้น แพทย์หญิงจันทิรา ได้ไปตรวจสอบดวงตาของผู้เสียหายวัย 31 ปี เบื้องต้น พบว่า ตาด้านซ้าย มีรอยขุ่นที่กระจกตาด้ายซ้าย ทำให้การมองเห็นลดลง ซึ่งส่วนสำคัญคือจอประสาทตา ที่จะต้องได้รับการตรวจเฉพาะทาง ก่อนจะมีรถพยาบาล มารับตัวไปส่งตรวจที่ รพ.พระนั่งเกล้า เพื่อตรวจสอบจอประสาทตา