
วันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นาย วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำเหนือ และน้ำฝนของ กทม. พร้อมลงเรือตรวจสอบความพร้อมแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าเรือส่วนการท่องเที่ยว ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตพระนครถึงวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ
โดย นายวิศณุ รองผู้ว่าฯกทม. ยืนยันว่า กทม.ไม่ต้องกังวลกับน้ำเหนือในขณะนี้ ปัจจุบันพื้นที่ทางภาคเหนือมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก และอาจส่งผลกระทบให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กทม.ได้ติดตามสถานการณ์และประสานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อยู่เป็นประจำ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำที่อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครได้
ส่วน สถานการณ์น้ำเหนือใน 4 เขื่อนหลัก ภาพรวมดีกว่าปีก่อน คาดว่าน้ำจากสุโขทัยจะเข้า กทม. ใน 6 วัน เตรียมเฝ้าระวังด่านหน้าที่สถานีบางไทร ขณะที่สถานการณ์น้ำ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสัก เปรียบเทียบ ณ วันและเวลาเดียวกัน (25 สิงหาคม 2566 กับ 25 สิงหาคม 2567) พบว่า ปีนี้ดีกว่า และยังสามารถรองรับน้ำได้เพิ่ม
อย่างไรก็ตาม กทม.ต้องเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะน้ำที่มาจากแม่น้ำยม ซึ่งจะไม่ไหลเข้าเขื่อนหลัก และระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
โดยอัตราการระบายน้ำที่ต้องเฝ้าระวังก่อนถึงกรุงเทพฯ คือที่สถานีบางไทร ซึ่งอัตราการระบายน้ำที่สถานีบางไทร ณวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 989 ลบ.ม./วินาที โดยอัตราการระบายน้ำที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที
ขณะที่ คันกั้นน้ำริมเจ้าพระยายาว 80 กิโลเมตรได้มีการเสริมให้สูงกว่าน้ำท่วมปี 2554 พร้อมระดมสรรพกำลังเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือหลาก
นายวิศณุ กล่าวต่อว่า กทม. ได้เตรียมพร้อมการบริหารจัดการน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมต่าง ๆ และตรวจสอบความแข็งแรงและจุดรั่วซึม
ของแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อยและคลองมหาสวัสดิ์ ความยาวประมาณ 80 กิโลเมตรซึ่งหลังจากปี 2554 เป็นต้นมา ได้เสริมแนวคันกั้นน้ำถาวรริมเจ้าพระยาสูงขึ้นตลอดแนวที่ระดับ 2.80-3.50 ม.รทก. และเรียงกระสอบทรายเป็นเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และบริเวณแนวป้องกันที่มีระดับต่ำตามจุดต่าง ๆ
รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมของสถานีสูบน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 96 สถานี และบ่อสูบน้ำตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งในช่วงน้ำทะเลขึ้น พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังประจำจุด เครื่องสูบน้ำสำรอง เรือผลักดันน้ำวัสดุอุปกรณ์ กระสอบทราย ตลอดจนเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการเร่งด่วนเคลื่อนที่ (BEST) และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมปฏิบัติการและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันทีเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วม ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับชุมชนนอกคันกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 16 ชุมชน 731 ครัวเรือน ในพื้นที่ 7 เขต ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ได้สั่งการให้สำนักงานพื้นที่ ประกอบด้วย เขตดุสิต พระนคร สัมพันธวงศ์บางคอแหลมยานนาวา บางกอกน้อย และเขตคลองสาน ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนชุมชน และให้เตรียมขนย้ายสิ่งของให้อยู่ในที่สูง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดปัญหาระดับน้ำขึ้นสูง
นอกจากนี้ ได้สั่งการสำนักงานเขตที่มีพื้นที่อยู่ตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำรวจพื้นที่บ้านเรือนของประชาชน จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ อย่างทันท่วงที
นาย วิศณุ ระบุว่า ภาพรวมปีนี้ กทม. รับมือสถานการณ์ฝนได้ดี ท่วมน้อย ลดเร็ว พร้อมเตรียมการเข้มข้นรับมือฝนต่อเนื่อง ซึ่งปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2567 พบว่า ในเดือนสิงหาคมมีปริมาณฝนอยู่ที่ 208.5 มิลลิเมตร มีค่าน้อยกว่าปี 2566 ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 224 มิลลิเมตร และปริมาณฝนสะสมในปี 2567 อยู่ที่ 842.5 มิลลิเมตร มีค่าใกล้เคียงกับปี 2566 อยู่ที่ 811.50 มิลลิเมตร ทั้งนี้ จากสถานการณ์ฝนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความพร้อม ทั้งในด้านของอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงความพร้อมของประตูระบายน้ำและคันกั้นน้ำริมแม่น้ำในการรับมือกับ
สำหรับ สถานการณ์น้ำฝน น้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยการรับมือสถานการณ์ฝนของ กทม. ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตลอด คือ การลดระดับน้ำรองรับสถานการณ์ฝน อาทิพร่องน้ำในคลอง สร้างธนาคารน้ำ(water bank) แก้มลิง การเตรียมความพร้อมระบบระบายน้ำ โดยล้างทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุโมงค์ระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำ แล้วเสร็จ 100% ทุกจุด รวมถึงการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ ทำให้น้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักในปีนี้ลดลงเร็ว
ด้านนาย ชัชชาติ กล่าวว่า สถานการ์ณที่เห็นได้จากภาคเหนือคือ ปัจจุบันปริมาณน้ำฝนมีมาก สูงถึง 200 มิลเมตรถือว่าน่ากังวล เพราะปริมาณน้ำฝนขนาดนั้นถ้าตกในกรุงเทพฯ ท่อระบายน้ำกรุงเทพฯออกแบบรับได้ 60 มิลลิเมตร
ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา เราปรับปรุงโครงสร้างหลายอย่าง เช่น เขื่อนกั้นน้ำ เชื่อว่าในหลายจุดของกรุงเทพมหานคร น้ำระบายเร็วขึ้นอาจจะมีท่วมขังบ้าง แต่ในถนนสายหลักก็จะมีการจัดการให้เร็วมากขึ้น ส่วนที่อยู่ในซอยย่อยก็จะนำจุดเหล่านั้นเป็นบทเรียน
สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีอะไรเทียบเคียงกับปี 2554 แต่อนาคตก็ไม่แน่ เพราะเราไม่รู้ว่าเดือนหน้าจะมีฝนตกมากแค่ไหน แต่ปีนี้ยอมรับว่าสถานการณ์ต่างจากปี 2554 โดยสิ้นเชิง
ซึ่งปี 2554 มวลน้ำไม่ได้มาจากแม่น้ำเจ้าพระยามาที่กรุงเทพฯโดยตรง แต่ว่าเป็นการที่น้ำที่ประตูบางขุนศรีแตก ผ่านเข้ามาทุ่ง และส่งมายังกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้ เรามีการทำแนวดันที่คลองรังสิตเสร็จแล้วสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเยอะ
สิ่งที่กังวลมากกว่าน้ำเหนือคือ ปริมาณน้ำฝนที่ตกมากเป็นจุดๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากภาวะโลกร้อนและสภาวะอากาศที่เปลี่ยนไปส่วนนี้ต้องมีระบบเคลื่อนที่เร็ว ระบบสูบน้ำเคลื่อนที่ที่ต้องบริการประชาชนได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าในเดือนกันยายนนี้ มีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝน จะมีปริมาณมาก
ขณะนี้ ปริมาณน้ำที่ผ่านบางไทร และ นครสวรรค์อยู่ในระดับหนึ่งในสาม ถ้าฝนตกใต้เขื่อนเจ้าพระยาจะเข้ามาที่กรุงเทพฯจะต้อง คอยเฝ้าระวังที่เขื่อนบางไทร แต่ทั้งนี้กรมชลประทานยังมีแก้มลิง 12 แห่ง ที่เตรียมพร้อมเอาไว้กรุงเทพฯจะเฝ้าระวัง ในระดับที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตร
มวลน้ำที่มาจากจังหวัดสุโขทัยที่จะเข้ามาสู่กรุงเทพฯ จะสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าก่อนเข้ากรุงเทพฯจริง 1 วัน
ทั้งนี้ นายชัชชาติ ย้ำว่าไม่ต้องกังวลใจไม่ได้เกินกำลังของเรา แต่เราก็เสริมคันกั้นน้ำด้วยความไม่ประมาท
สำหรับประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์น้ำและฝนอย่างใกล้ชิด รวดเร็ว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร สามารติดตามสถานการณ์น้ำและฝน ได้ที่ Facebook และ X กรุงเทพมหานคร, ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพมหานคร, เว็บไซต์www.prbangkok.com และhttp://dds.bangkok.go.th/ แจ้งเหตุเดือดร้อนและขอรับความช่วยเหลือจาก กทม. ได้ที่ Traffy Fondue, Facebook ศูนย์ประสานงานน้ำท่วม กทม. สายด่วน โทร.1555 ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำ โทร.022485115