วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ ศาลาว่าการ กทม. 1 (เสาชิงช้า) เขตพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของ กทม. ครั้งที่ 8/2567 โดยมี นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัด กทม. คณะผู้บริหาร กทม. คณะผู้บริหารสำนักต่างๆ และสำนักงานเขต ร่วมประชุม
โดย นายชัชชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้ได้เน้นย้ำที่ประชุมเรื่องข้อบัญญัติงบประมาณ ซึ่งผ่านวาระแรก เมื่อวานนี้ (31 ก.ค.2567)ว่า ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ จะต้องให้ข้อมูลอย่างชัดเจนต่อคณะกรรมการ รวมถึงเรื่องงบแปรญัตติด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจจะมีบางจุดที่กรรมการพิจารณาตัดออก และแปรญัตติโครงการที่จำเป็นเพิ่มเข้าไปแทน เพื่อให้งบประมาณยังคงอยู่ที่ 90,000 ล้านบาท โดยให้เตรียมข้อมูล เหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ให้พร้อม นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใส การทำ TOR หรือ ร่างขอบเขตของงาน อย่างรอบคอบ ให้เป็นไปตามระเบียบ รวมถึงเน้นย้ำนโยบายที่จะผลักดันในปีที่ 3 ต่อไป
พร้อมกันนี้ นายชัชชาติ ได้กล่าวถึง ประเด็นการชำระหนี้รถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายสายสีเขียว ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ กทม.ชดใช้เงินจำนวนกว่า 12,000 ล้านบาท ให้กับ "บีทีเอส" ว่า กทม.ยอมรับคำสั่งศาล โดยจะเร่งการประชุมใหญ่ เพื่อหาข้อสรุประหว่าง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) และ กรุงเทพมหานคร รวมถึงวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลโดยละเอียด ซึ่งมีบางจุดที่เป็นประเด็นจากศาล ต้องศึกษารายละเอียดให้รอบคอบตามที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมา และหาแนวทางในการปฏิบัติ
ส่วนความผิดที่เกิดขึ้นคือ การหยุดชำระหนี้ จากส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ในช่วงประมาณปี 2564 มีการนำหนี้มารวม เพื่อนำไปต่อสัญญาตาม ม.44 จึงทำให้เกิดการหยุดชำระเงิน ต่อมา ม.44 ไม่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี กทม.จึงรอคำสั่งจากคณะรัฐมนตรี โดยช่วงแรก "บีทีเอส" ยอมรับการไม่จ่ายเงิน แต่ปรากฏว่าในปี 2564 ทาง "บีทีเอส" ได้ฟ้องร้อง กทม.
ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยจากศาลฯ ระบุว่า กทม.ไม่ต้องรอคำสั่งจากคณะรัฐมนตรี โดยให้จ่ายตามภาระที่มีอยู่ รวมถึงระบุดอกเบี้ยมาด้วย ซึ่งก็ทำให้ กทม.มีภาระ และความกดดันเพิ่มมากขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 6,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท แต่ค่าโดยสารที่จัดเก็บได้ เป็นจำนวน 2,000 ล้านบาท ทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณมาจ่ายส่วนต่างในการเดินรถ จำนวน 6,000 ล้านบาท
สำหรับงบประมาณประจำปี 2568 ที่ กทม.ตั้งกรอบวงเงินไว้จำนวน 90,000 ล้านบาท เมื่อต้องหักไปจ่ายหนี้ 6,000 ล้านบาท รวมทั้งมูลหนี้ที่รวมแล้วเกือบ 40,000 ล้านบาท ก็จะเป็นภาระของชาว กทม. ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะใช้เวลาในการชำระหนี้ประมาณ 140 วัน และจะพยายามให้การดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 180 วัน ตามคำสั่งศาล โดย กทม.จะพยายามใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด เพราะเงินที่นำมาใช้เป็นเงินของประชาชน และจะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวว่าจะมีวิธีใดที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ การต่อ พ.ร.บ. ร่วมทุนที่จะหมดในปี 2572 จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เน้นย้ำว่าทางกรุงเทพมหานครเองจะต้องพิจารณาคำสั่งศาลให้ถี่ถ้วน เพราะข้อมูลบางตัวอาจจะไม่เป็นปัจจุบัน