svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

14 มิ.ย. "วันผู้บริจาคโลหิตโลก" ชวนรู้การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างไร

ประชาชนร่วมบริจาคเลือด ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลก (World Blood Donor Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปี "NationTV" ชวนรู้การบริจาคโลหิตมีประโยชน์อย่างไร ข้อแนะนำเตรียมตัวก่อน-หลัง บริจาคเลือด มีอะไรบ้าง

วันผู้บริจาคโลหิตโลก (World Blood Donor Day) ตรงกับวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ดร. คาร์ล ลันด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ผู้ค้นพบหมู่โลหิตระบบเอบีโอเป็นครั้งแรก ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2547 

โดยในปี 2567 ปีนี้มีคำขวัญว่า "20 years of celebrating giving : Thank you, blood donors! - ฉลอง 20 ปีแห่งการให้ ขอบคุณจากใจถึงผู้บริจาคโลหิต" จัดขึ้น ระหว่างวันที่  10-14 มิถุนายน 2567 โดยวันนี้ (14 มิ.ย. 67) ก็มีประชาชนเดินทางมาร่วมบริจาคโลหิต ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย 

ทั้งนี้ ผู้ที่มาบริจาคโลหิต จะได้รับเสื้อยืด "20 years of celebrating giving : Thank you, blood donors! 14 June 2024" เป็นที่ระลึกและเพื่อขอบคุณผู้บริจาคโลหิต พลาสมา และเกล็ดเลือด พร้อมสร้างความตระหนักถึงความจำเป็นของการบริจาคโลหิต รณรงค์ให้ผู้บริจาคโลหิตมีส่วนร่วมในการช่วยชีวิตผู้ป่วย เพราะโลหิตยังคงเป็น ยารักษาโรคที่สำคัญซึ่งต้องได้มาจากการบริจาคเท่านั้น 
ภาพโดย ธิติ วรรณมณฑา (Thiti Wannamontha) ช่างภาพศูนย์ภาพเนชั่น (NationPhoto)

14 มิ.ย. \"วันผู้บริจาคโลหิตโลก\" ชวนรู้การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างไร

โลหิต หรือ เลือด มีความสำคัญในการรักษาผู้ป่วย เพราะในปัจจุบันยังไม่มีใครที่คิดค้นสิ่งที่สามารถใช้แทนโลหิตได้ จึงยังต้องมีการรับบริจาคโลหิต เพื่อนำมาใช้รักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยอยู่ โดยการบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนเกินของร่างกาย ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ให้กับผู้ป่วย

ข้อมูลโดย อ.พญ.รัตตพร วิชิตรัชนีกร ฝ่ายธนาคารเลือด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระบุว่า การบริจาคโลหิตไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค โดย 1 คนจะบริจาคโลหิต ครั้งละ 350 – 450 ซีซี หรือคิดเป็นร้อยละ 10-12 ของปริมาณโลหิตทั้งหมดในร่างกาย

หลังจากการบริจาคแล้ว ไขกระดูกในร่างกายจะทำการสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยเม็ดเลือดแดงที่สร้างขึ้นใหม่นั้นจะไหลเวียนในร่างกายยาวนานประมาณ 120 วัน ทำให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม หากไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัวเพราะหมดอายุ

การบริจาคโลหิต 1 ถุง สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากถึง 3 ชีวิตเลยทีเดียว
 

ภาพโดย ธิติ วรรณมณฑา (Thiti Wannamontha) ช่างภาพศูนย์ภาพเนชั่น (NationPhoto)
ประโยชน์ของการบริจาคเลือด

  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของโขกระดูก ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • ช่วยให้ทราบหมู่โลหิตของตนเองในระบบ ABO และ Rh
  • ช่วยให้มีระบบไหลเวียนโลหิตที่ดี
  • ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และมีความสุขในการเป็นผู้ให้


อยากบริจาคโลหิต ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ก่อนบริจาคเลือด

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ในเวลานอนปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต
  • สุขภาพสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะใดๆ เช่น ยาแก้อักเสบ ต้องหยุดยาแล้วอย่างน้อย 7 วัน
  • รับประทานอาหารประจำมื้อก่อนมาบริจาคโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันสูง ภายใน 6 ชั่วโมง ได้แก่ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู เพราะจะทำให้พลาสมามีสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้
  • การดื่มน้ำก่อนบริจาคโลหิต 30 นาที ประมาณ 3-4 แก้ว ซึ่งเท่ากับปริมาณโลหิตที่เสียไปในการบริจาค จะทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และช่วยลดภาวะการเป็นลมจากการบริจาคโลหิตได้
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

14 มิ.ย. \"วันผู้บริจาคโลหิตโลก\" ชวนรู้การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างไร

ขณะบริจาคเลือด

  • สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
  • เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
  • ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
  • ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการ ผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที
  • หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อยนอนพักบนเตียง 5-10 นาที ก่อนลุกจากเตียง อาจทำให้เวียนศีรษะเป็นลมได้ ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง


หลังบริจาคเลือด

  • พักรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการ และนั่งพักอย่างน้อย 15 นาที  ให้ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1 วัน
  • ไม่ควรรีบร้อนกลับ ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที
  • หลีกเลี่ยงการขึ้นลงลิฟท์ บันไดเลื่อน อาจทำให้รู้สึกวิงเวียนและเป็นลมได้
  • ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อซ กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
  • หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ ไม่ใช้กำลังแขนที่เจาะบริจาค เช่น ยกของหนัก เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการบริจาคโลหิต
  • ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาทิ การเดินซื้อของ อยู่ในบริเวณที่แออัดหรืออากาศร้อนอบอ้าว เป็นต้น
  • ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
  • หลังจากบริจาคโลหิต ให้รับประทานอาหารตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยโลหิตที่บริจาค
  • รับประทานธาตุเหล็กวันละ 1 เม็ด จนหมด ชดเชยเหล็กที่เสียไปจากการบริจาคโลหิต และป้องกันการขาดธาตุเหล็ก เพื่อให้สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างสม่ำเสมอ
  • การรับประทานธาตุเหล็กบำรุงโลหิต พร้อมกับเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง หรือน้ำมะเขือเทศ จะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ยกเว้นชาเขียว เพราะจะไปขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก

 

14 มิ.ย. \"วันผู้บริจาคโลหิตโลก\" ชวนรู้การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างไร

ขอบคุณข้อมูลจาก : 
สสส. 
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ภาพประชาชนร่วมบริจาคโลหิต ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดย ธิติ วรรณมณฑา (Thiti Wannamontha) ช่างภาพศูนย์ภาพเนชั่น (NationPhoto)