
เป็นเรื่องราวน่าเศร้าใจ เกี่ยวกับกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำสุดหายากของประเทศไทย ที่มีจำนวนเหลืออยู่น้อยมาก และวิกฤตเสี่ยงจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย นั่นคือ "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลา เมื่อมีรายงานว่า เราต้องสูญเสีย "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลา ไปอีกหนึ่งตัว
โดยเพจเฟซบุ๊ก ThaiWhales ที่เป็นเพจองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า
ข่าวเศร้าที่สุด
ลุงนวย อุทัย ยอดจันทร์ ชมรมอนุรักษ์โลมาอิรวดี vdo call มาแต่หัวเช้าวันนี้ และ ถามว่า เราอยู่ไหน อยู่สงขลามั๊ย และ ถ่ายมาเจอภาพนี้
เราสูญเสียโลมาอิรวดี #TheLast14 ไปอีกหนึ่งตัวแล้ว
ลุงนวยคงเห็นเราหน้าเสีย เลยบอกเราว่า อย่าเศร้าไปเลย เรานึกในใจว่า ลุงนวยที่ช่วยเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเรื่องโลมาในทะเลสาบสงขลานี้มาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ทั้งการพบเห็น และ การพบซากโลมา กี่ครั้งแล้วที่ลุงนวยต้องพูดคำนี้กับตัวเอง “อย่าเศร้าไปเลย”
ในขณะที่ชาวบ้าน ชาวประมง เครือข่ายคนรักโลมา รวมถึงเจ้าหน้าที่จากหลาย ๆ ทีม กำลังเป็นกังวลและพยายามหาทางช่วยดูแลโลมาและฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา เวลาของโลมา 14 ตัวสุดท้าย ก็เหลือน้อยลงทุกวัน
คุณลุงนวยแจ้งเจ้าหน้าที่ทช. และ เขตห้ามล่าแล้ว รอผลชันสูตรจากทีมสัตวแพทย์อีกทีค่ะ
ขอบคุณ - คุณลุงนวย อุทัย ยอดจันทร์ ที่ส่งข่าวและส่งข้อมูลมาให้ค่ะ
ทำความรู้จัก TheLast14 "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลา
"โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลา ถือเป็น 1 ใน 5 แหล่งโลมาน้ำจืดของโลก โดย "โลมาอิรวดี" มีอีกชื่อว่า "โลมาหัวบาตร" มีครีบหลัง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Orcaella brevirostris) เป็นโลมาที่มีหัวกลม ลำตัวสีเทาหรือน้ำเงินเข้ม ความยาวประมาณ 178 - 274 เซนติเมตร ช่วงท้องมีสีเทาอ่อนกว่า มีครีบหลังเล็ก ๆ เป็นรูปร่างสามเหลี่ยมปลายมน และครีบข้างที่กว้างและยาว น้ำหนักตัวจะอยู่ประมาณ 98 - 159 กิโลกรัม ตามข้อมูลบอกว่า เจอโลมาน้ำจืดชนิดนี้ครั้งแรก ในแม่น้ำอิรวดี ประเทศเมียนมา เลยเรียกว่า “โลมาอิรวดี”
ประเด็นการอนุรักษ์ "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลา เคยถูกหยิบยกมาพูดในสังคมอย่างกว้างขวาง เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา หลัง ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ เกี่ยวกับชะตากรรมของสัตว์น้ำสุดหายากของประเทศไทย อย่าง "โลมาอิรวดี" ว่า เหลือเพียง 14 ตัวสุดท้าย ในทะเลสาบสงขลา ก่อนสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย จนนำมาสู่การตื่นตัวเพื่ออนุรักษ์จากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
แผนอนุรักษ์ "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลาเป็นอย่างไร ดำเนินการถึงไหนแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ "โลมาอิรวดี" ตายเป็นจำนวนมาก มาจากการทำประมง ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปี 2545 นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ ที่ไม่คาดฝันกับสัตว์น้ำ เช่น มีโลมาติดเครื่องมือประมง มากถึงร้อยละ 60 กอปรกับการทำประมงที่เติบโตขึ้น ทำให้สัตว์น้ำแหล่งอาหารของโลมา ถูกแย่งชิงไปในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้ สาเหตุที่ทำให้โลมาลดลง ยังเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุชนใบพัดเรือ และการเพิ่มขึ้นของตะกอน ที่ถูกชะล้างมาจากบกจนเกินพอดี ทำให้ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลง ตลอดจนภาวะเลือดชิด จากจำนวนที่เหลือน้อย จนต้องผสมพันธุ์กันในวงจำกัด จนทำให้โลมามีสภาวะร่างกายที่อ่อนแอ
จากกระแสข่าวที่มีการพูดถึง "โลมาอิรวดี" 14 ตัวสุดท้าย ในทะเลสาบสงขลา ทำให้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการทะเลชาติ มีมติเห็นชอบยกสถานะ "โลมาอิรวดี" ให้เป็นสัตว์สงวนของไทย
โดยความสำคัญของการเป็นสัตว์สงวนนั้น หมายถึงการมีกฎหมายที่ชัดเจน มีแผนแม่บทการอนุรักษ์ที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนเรื่องงบประมาณ ในการดูแลที่เพิ่มมากขึ้น และยังมีผลถึง "โลมาอิรวดี" ในทะเล เช่นที่ดอนสัก อ่าวขนอม อ่าวไทยตอนในตรัง กระบี่
อย่างไรก็ตาม การบรรจุชนิดพันธุ์ไว้ในกลุ่มสัตว์สงวน จำเป็นต้องใช้เวลา ทั้งการจัดทำข้อมูล และศึกษาบริบทแวดล้อม ให้รอบคอบเสียก่อน และยังมีขั้นตอนที่ต้องเสนอถึงคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกหลายขั้น เงื่อนไขนี้จึงอาจไม่สำเร็จในเร็ววัน
โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มี นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรีในขณะนั้น และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ได้เดินหน้าแก้ไขวิกฤต "โลมาอิรวดี" 14 ตัว สุดท้ายในทะเลสาบสงขลา เพื่ออนุรักษ์อย่างยั่งยืน
จากการสำรวจประชากรโลมาอิรวดี ในทะเลสาบสงขลาตอนบน ทั้งทางเรือ ทางอากาศ โดยเครื่องบินเล็กปีกตรึง และอากาศยานไร้คนขับ (Drone) ตั้งแต่ปี 2558 - 2564 พบว่า มีแนวโน้มประชากรลดลง ในปี 2558 มีรายงานการพบประมาณ 27 ตัว แต่เหลืออยู่ประมาณ 14 - 20 ตัว ในปี 2565 และหากสามารถลดอัตราการตาย จากเครื่องมือประมงให้เป็นศูนย์ได้ คาดว่า ประชากร "โลมาอิรวดี" จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากกว่า 30 ตัว ภายใน 10 ปี
จากการประชุมหารือ เพื่อระดมความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไข วิกฤตโลมาอิรวดี 14 ตัว สุดท้ายในทะเลสาบสงขลา เพื่ออนุรักษ์อย่างยั่งยืน ได้มีการนำเสนอร่างแผนการดำเนินงาน อนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา แผนงานระยะสั้น (2565 - 2566) ประกอบด้วย 5 แผนงาน ประกอบด้วย
1.การลดภัยคุกคาม "โลมาอิรวดี" และแหล่งที่อยู่อาศัย
2.การเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำซึ่งเป็นอาหารของ "โลมาอิรวดี" และจัดทำพื้นที่หวงห้าม
3.การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการสร้างจูงใจในการอนุรักษ์ "โลมาอิรวดี"
4.การศึกษาวิจัย "โลมาอิรวดี" และแหล่งที่อยู่อาศัย
5.การช่วยชีวิตและดูแลรักษา "โลมาอิรวดี" เกยตื้น
ส่วนแผนงานระยะยาว (2566 - 2570) ประกอบด้วย 1.การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประชากรโลมาอิรวดี 2.โครงการฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา 3.การพัฒนากลไกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา และ 4.การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่าย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติรับทราบ ผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายสถาบันวิจัยวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการปรับแผนเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง ระยะยาว พร้อมจัดทำงบประมาณในการดำเนินการ ทำหนังสือขอความร่วมมือ การปฏิบัติงานในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง ไปยังอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ตลอดจนศึกษาแนวทาง การขอรับการจัดสรรงบประมาณ จากกองทุนสิ่งแวดล้อม และจัดทำร่าง MOU ความร่วมมือการบริหารจัดการโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาร่วมกัน ระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงทำหนังสือถึงอธิบดีกรมประมง รายงานสถานการณ์และความวิกฤต ของสถานภาพโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา และขอความร่วมมือกรมประมง ให้งดเว้นการปล่อยพันธุ์ปลาบึก ในทะเลสาบสงขลา นอกจากนี้ ได้มอบหมาย นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งขณะนั้นประสาน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ปรับแผนการดำเนินงานโครงการ Ocean for life ให้ขยายกิจกรรมครอบคลุมไปถึงการอนุรักษ์โลมาอิรวดี ในทะเลสาบสงขลาต่อไป
ข้อมูลและภาพจาก : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
เพจเฟซบุ๊ก ThaiWhales