
7 ธันวาคม 2566 จากเหตุการณ์รถโดยสาร สายกรุงเทพฯ-นาทวี ของบริษัท ศรีสยามเดินรถ จำกัด ซึ่งเป็นรถร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง บนทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ขาล่องใต้ หลัก กม.ที่ 331-332 หมู่ที่ 7 ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใกล้ทางเข้าอุทยานแห่งชาติหาดวนกร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 14 ราย และบาดเจ็บอีก 32 ราย เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า "อุบัติเหตุ" คือ เรื่องไม่คาดคิด และคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น จึงกลายเป็นภัยใกล้ตัวที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หลายครั้งมักปรากฏข่าวลักษณะนี้ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แม้จะมีการการรณรงค์เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุแล้วก็ตาม
ทว่า ที่ต้องหันกลับไปมองพร้อมกับตั้งคำถาม โดยเฉพาะโชเฟอร์ขับรถ และตัวรถที่ใช้เป็นยานพาหนะ เพื่อนำผู้โดยสารไปสู่จุดหมายปลายทาง มีมาตรฐานมากน้อยเพียงใด
ข้อมูลจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปภ.) ได้กำหนดมาตรฐานใหม่เพื่อความปลอดภัย
-กฎหมายเดิมกำหนดความสูงของรถโดยสาร 2 ชั้น อยู่ที่ 4.30 เมตร แต่กฎหมายใหม่ในปี 2560 กำหนดความสูงเหลือเพียง 4.00 เมตร และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2557 ได้กำหนดให้รถที่มีความสูงเกิน 3.6 เมตร จะต้องผ่านการตรวจสอบพื้นเอียงกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งตรวจได้เฉพาะรถรุ่นใหม่ แต่ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าจะใช้ระบบ GPS อย่างเดียวเท่านั้นในการคอยกำกับ
-จุดอ่อนการใช้ระบบ GPS พบว่ายังไม่สามารถกำกับและแจ้งเหตุการณ์แบบ Real Time ได้ เนื่องด้วย GPS ยังไม่ถูกเชื่อมกับความเสี่ยงถนน เช่น ถ้านั่งควบคุมอยู่ที่ห้องควบคุม เห็นว่ารถวิ่ง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ค่าของ GPS จะถูกตั้งไว้ที่ประมาณ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะฉะนั้นรถคันนี้ก็จะไม่ถูกแจ้งเตือน ทั้งๆ ที่คนขับกำลังขับรถลงเขา ประเด็นคือระบบ GPS ต้องสัมพันธ์กับพื้นที่ กายภาพ และภูมิศาสตร์ของพื้นที่ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ผู้ประกอบการที่มีรถรุ่นเก่า
-รถใหญ่รุ่นเก่าๆ จะใช้เบรกลม ต่างจากรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบ ABS หรือ Retarder ในการหน่วงล้อ ซึ่งประสิทธิภาพของเบรกลมมีสูง แต่ว่าต้องมีแรงดันของลมสม่ำเสมอ ถ้าขับรถลงเขาด้วยความเร็ว คนขับจะต้องเบรกเป็นระยะ ระหว่างที่เบรกอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรงดันลมเสียไป ทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าเบรกแตก คือ ลมในหม้อลมหมด ทำให้เบรกไม่อยู่ ฉะนั้นเวลาลงเขาต่อเนื่องที่ความชัน 7% จึงต้องใช้เกียร์ต่ำ เพื่อช่วยให้รถค่อยๆลง ไม่ต้องคอยเหยียบเบรกย้ำๆ
เหตุผลที่ยังคงใช้รถโดยสาร 2 ชั้น
3 แนวทางควบคุมและกำกับผู้ประกอบการให้เกิดความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม สำคัญที่สุด คือ มาตรฐานของคนขับรถ
ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภค ได้เปิดเผยข้อมูลจดทะเบียนสะสมของกรมการขนส่งทางบก เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 65 โดยมีรถโดยสาร 2 ชั้น หรือ รถมาตรฐาน 4 จดทะเบียนอยู่ทั้งหมด 6,776 คัน แบ่งเป็น
กรมการขนส่งทางบกมีคำสั่งยกเลิกจดทะเบียนรถโดยสาร 2 ชั้น ตั้งแต่ปี 2559 จากความไม่เหมาะในการใช้โดยสารในเส้นทางเสี่ยงลาดชัน ซึ่งรถโดยสาร 2 ชั้น จะมีความเสี่ยงที่จุดศูนย์ถ่วงของรถ มีโอกาสพลิกคว่ำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถโดยสารชั้นเดียว ถึง 6 เท่า
แต่ปัจจุบันยังมีรถโดยสาร 2 ชั้น วิ่งให้บริการอยู่ทุกพื้นที่ของประเทศ โดยประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือตรวจสอบได้เลยว่ารถโดยสารสองชั้นคันดังกล่าว มีอายุการใช้งานมาแล้วกี่ปี ผ่านการตรวจสภาพรถประจำปีเมื่อไหร่ มีประกันภาคบังคับ ภาคสมัครใจ และผ่านการทดสอบความลาดเอียงมาแล้วหรือไม่
ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุของรถโดยสาร 2 ชั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ศวปถ. ยังได้รวมสถิติการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร 2 ชั้นในปี 2560 ทั้งรถประจำทางและรถไม่ประจำทาง พบว่า เกิดขึ้นทั้งหมด 63 ครั้ง รวมเสียชีวิต 18 ราย แบ่งเป็น
เมื่อรถทัวร์เกิดอุบัติเหตุ ผู้โดยสารมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรบ้าง?
ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุไว้ว่า ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ มีสิทธิเรียกร้องความเสียหายได้ ดังนี้
ส่วนที่ 1 การเรียกค่าสินไหม ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ส่วนที่ 2 การเรียกค่าเสียหายกับประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ค่ารักษาพยาบาล ส่วนที่เกินวงเงินของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
(สำหรับกรณีเสียชีวิต ขั้นต่ำรายละ 500,000 บาท) รายละเอียดขึ้นกับกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทที่ทำเอาไว้
หากผู้บริโภคผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะและได้รับการชดเชยเยียวยาที่ไม่เป็นธรรมจากผู้ให้บริการ บริษัทประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถร้องเรียนออนไลน์กับสภาผู้บริโภคส่วนกลาง ได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปภ.) และสภาองค์กรของผู้บริโภค
ขอบภาพจาก : Pixabay