svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

23 ตุลาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ชวนส่องความเคลื่อนไหวล่าสุด เป็นข้อความจากแอดมินเพจ "สู้ดิวะ" ที่ออกมาเปิดเผยความคืบหน้า อาการป่วยของคุณหมอหนุ่ม ระบุว่า "คุณหมอกฤตไทอาการไม่ค่อยดีนักครับ มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเก่า อดมาแจกลายเซ็นในงานหนังสือ"

ความคืบหน้าสุดท้ายของหมอกฤตไท หมอหนุ่มที่สุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองมาอย่างดีในวัย 28 ปี แต่กลับป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย จนเปิดเพจ สู้ดิวะ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เล่าเรื่องราวเผยแพร่เกร็ดความรู้แก่คนทัวไป โดยในช่วงระยะหลังมานี้ หมอกฤตไทระบุว่า เป็นช่วงที่มะเร็งดุสุดในรอบ 5 เดือน แต่ก็ยังมีโปรเจกต์สำคัญที่อยากจะทำให้สำเร็จ นั่นคือ การได้ขายหนังสือสู้ดิวะ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปี 2566

ทว่า รายงานความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ทำเอาแฟนเพจสู้ดิวะ ใจคอไม่สู้ดีนัก เป็นการระบุข้อความที่รายงานข่าวส่งตรงมาจาก "แอดมินเพจ" โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ ส่งโพสต์ระบุว่า

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม  

สวัสดีทุกท่านครับ

หลังจากที่หนังสือสู้ดิวะ ได้วางขายได้ระยะหนึ่งมีผู้อ่านหลายท่านส่งกำลังใจพร้อมข้อคิดที่ได้จากการอ่านหนังสือมาทาง inbox page 

แต่ตอนนี้คุณหมออาการไม่ค่อยดีนักครับ มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเก่า จริงๆคุณหมอวางแผนที่จะไปร่วมงานแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ มีการเตรียมการไว้แล้ว แต่เกิดเหตุที่ต้องเข้ารับการรักษาด่วน ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหว

วันนี้

ผมจะมีโอกาสได้เจอคุณหมอครับ จึงอยากให้โพสต์นี้เป็นโพสต์ที่รวบรวมสิ่งที่แต่ละท่านได้รับ จากการอ่านหนังสือ ‘สู้ดิวะ’ รวมถึงกำลังใจและพลังบวกที่ทุกท่านต้องการส่งต่อให้กับคุณหมอ

สามารถคอมเมนต์ ไว้ใต้โพสต์นี้ได้นะครับ 

ผมอยากให้คุณหมอได้เห็นว่า "หนังสือที่คุณหมอทุ่มเทเขียนได้ทำหน้าที่อย่างที่คุณหมอหวังแล้วจริงๆ"

ขณะที่คอมเมนต์จากแฟนเพจ แฟนคลับของคุณหมอ ร่วมแสดงความห่วงใยและแสดงความคิดเห็นหลังได้อ่านหนังสือของคุณหมอเป็นจำนวนมาก

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม  

ชวนคอข่าว มาร่วมย้อนอ่านโพสต์คุณหมอกฤตไท ก่อนหน้านี้ เป็นช่วงที่ได้เตรียมการทำหนังสือและรายงานความคืบหน้าสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 16 เดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา

 

  

ใจความในโพสต์ครั้งนั้น ระบุไว้ดังนี้ 

สวัสดีครับ

ผมเองครับ
หมอไทคนเดิม เพิ่มเติมคือร่างกายที่ผ่านอะไรหนักหน่วงมาเยอะพอตัว

ผมโพสต์ลงเพจนี้ครั้งสุดท้ายคือช่วงเดือนเมษายนปีนี้เลย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้วที่ผมหายไปจากวงการ

ไหนๆ ก็กลับมาเขียนเพจ งั้นผมสรุปในภาพรวม 5 เดือนที่ผ่านมาแบบเท่าที่ผมนึกออกเร็วๆให้ครับ
โอเค ผมได้รับการผ่าตัดสมอง 
ผมได้รับการฉายแสงที่สมองและที่หลัง (ฉายหลายรอบ)
ผมได้รับคีโมแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อนมากมาย
ผมได้รับยาสเตียรอยด์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน
ผมมีลุ้นว่าจะเป็นโรคต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเพิ่มอีกโรค และผมก็เจอก้อนใหม่ขนาดใหญ่ซะด้วย
โชคดีที่เรื่องอาการเองจะเด่นสุดที่เรื่องอภิมหาปวดที่กระดูกและซี่โครง รวมถึงการที่ร่างกายผมไม่สามารถเล่นบาสได้อีกแล้ว
ทุกวันนี้ผมกินยาวันละประมาณ 20 เม็ด เช้าก่อนอาหาร เช้าหลังอาหาร กลางวัน เย็น ก่อนนอน
 
5 เดือนที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงเวลาที่ตัวโรคดุร้ายและไม่ใจดีกับผมเหมือน 6 เดือนแรกเลย

โหดร้ายขนาดที่ผมเองเกิดความคิดว่า
“ผมจะทนกับความเจ็บปวดนี้ไปทำไมนะ”
ผมจึงได้ปรึกษากับพี่หมอจิตแพทย์ครับ 
ผมได้รับยาต้านซึมเศร้าและยาจิตเวชตัวอื่นๆ

โชคดีมากครับ ที่ผมก็ยังมีวันนี้ 
ที่มาเขียนโพสต์นี้ให้กับทุกคนอยู่
เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมตอบคำถามจากจิตแพทย์ของผม

“ว่าอะไรทำให้ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะ?”

“ผมอยากเห็น ‘สู้ดิวะ’ ได้ตีพิมพ์ครับ”

ผมตอบอาจารย์ทั้งน้ำตา เพราะผมไม่รู้จริงๆว่า วันที่ ‘สู้ดิวะ’ วางขายตามร้านหนังสือ ผมจะยังอยู่ไหม
เอาจริงๆ ผมไม่สนด้วยซ้ำครับ ผมสนแค่ว่า 
ตัวแทนของความคิดผมได้เกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

ตอนนี้ผมเขียนเสร็จแล้วครับ
ผมเลือกสำนักพิมพ์ของพี่นิ้วกลม (เพราะผมเป็น FC พี่เขาครับ)
ถ้าเอาตามหลักเหมือนส่งวิจัยไปตีพิมพ์นี่เหมือนกับผมส่งให้ editor โดยตรงเลย
ซึ่งถ้าในวงการวิจัย พวกเรารู้กันดีว่าแทบไม่มีการรับโดยไม่แก้
แต่งานนี้ของผม พี่นิ้วกลมบอกว่า

“พี่ไม่แก้อะไรเลย เรามาตีพิมพ์กันเถอะ”

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

เอาจริงๆ เรื่องกระบวนการต่างๆนี้ผมแทบจะยกให้เพื่อนแม็กซ์ของผมจัดการหมดเลย
เพราะผมก็มีกระบวนการรักษาร่างกายและลมหายใจผมที่ต้องจัดการเหมือนกัน

แต่ก็ไม่น่าเชื่อครับ ว่า...สุดท้ายแล้ว
หนังสือ สู้ดิวะ ก็เดินทางมาถึงวันที่มีหนังสือรวมเล่มแบบจับต้องได้
Draft version ออกมาให้ผมและเพื่อนได้ชื่นชมกันเอง
แต่ Final version นั้น ทุกคนจะได้ชื่นชมมัน…
 
ทางออนไลน์ 30 กันยายน 2566
ทางเพจ Roundfinger
 
วางขายวันแรก 12-23 ตุลาคม 2566
ที่งานหนังสือ ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ บูธสนพ. KOOB (H43)​
และทางหน้าร้านหนังสือทั่วประเทศ

หวังว่าเราจะได้เจอกันครับ
 

ปิดท้ายกับโพสต์ ที่อ่านแล้ว คิดว่าคุณหมอไท คนนี้ หัวใจท่านช่างเข้มแข็งมากเสียจริงๆ 
โพสต์ไว้เมื่อ 9 มีนาคม 2566 
ขอนำมาฝากกันตรงนี้ เผื่อจะเป็นแนวทางคำตอบ..ในการมีชีวิตอยู่ !!
อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม สวัสดีครับ

วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่น่าสนใจสั้นๆเรื่องหนึ่งครับ

“ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้ครับ?”

อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งที่ชีวิตส่วนใหญ่แล้วก็ต้องดิ้นรน ชีวิตที่แสนเปราะบางและควบคุมอะไรไม่ได้เท่าไร 
ชีวิตที่หลายครั้งตอบแทนความพยายามของเราด้วยความผิดหวังอยู่บ่อยๆ

แม้ว่าที่ผ่านมา ผมเองจะได้แชร์มุมมองอย่าง

“การตระหนักว่าเวลาในชีวิตเรามีจำกัด” 
“การรับรู้ถึงความโชคดีของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน” 
“การใช้เวลาของแต่ละวันไปกับสิ่งสำคัญและใช้ชีวิตให้มีคุณค่าในตอนที่ยังมีโอกาสได้ทำ”

ผม ที่พูดกับตัวเองว่า

“สู้ดิวะ”

‘เอาหน่อยดิวะ มันยังมีทางไปต่อ ชีวิตยังไม่จบ ยังมีลมหายใจก็สู้ดิวะ’
ผมบอกตามตรงว่า นอกจากชื่อเพจแล้วนั้น ผมไม่พูดคำนี้กับใครมาสักพักละครับ เพราะผมรู้ดีว่าในชีวิตของทุกคนนั้น ทุกคน ‘สู้เต็มที่อยู่แล้ว’ 
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย หรือคนที่พบวิกฤตปัญหาในชีวิตหนักๆ ทุกคนเขา สู้เต็มที่ 
สู้.. จนไม่รู้จะสู้ยังไงกันอยู่แล้ว

พวกคำว่า “สู้ๆนะ สู้ต่อไป สู้ดิวะ” อะไรพวกนี้ บางทีมันอาจไปทำให้หลายคนรู้สึกว่า 
‘นี่กูยังสู้ไม่พอเหรอ? หรือ ลองมาเป็นกูดูไหมล่ะ?’
อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม
ดังนั้น ผมจึงไม่พูดคำพวกนี้กับใครเลยครับ 
ยกเว้นชื่อเพจ ที่ตั้งเพื่อบอกกับตัวเองเท่านั้น

ที่จะมาชวนคุยวันนี้ คือ ผมดันเกิดคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาครับว่า
“สู้ไปทำไมวะ?”
จริงๆ มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้มากๆเลยนะครับ ที่พอเราสู้กับอะไรมาสักพักแล้วเราจะท้อหรืออ่อนแอ อยากปล่อยจอย แล้วยอมแพ้ไปซะให้จบๆ

ผมคงจะเป็นไอ้ขี้โม้คนหนึ่ง ถ้าจะมาบอกว่าผมรับมือกับทุกอย่างได้ดี มีสภาพจิตใจและทัศนคติอันทรงพลังยอมรับกับทุกความทรมานที่ต้องเจอ แล้วยิ้มให้กับมัน สู้ไปกับมันได้ตลอด

ผมกลับมองว่า “ผมเป็นคนธรรมดา” ทีกำลังเกิดคำถามต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังสู้อยู่

เกิดคำถามว่า ‘เราจะอดทนต่อไปเพื่ออะไรกันนะ?’

เพราะอย่างโรคของผมเอง ที่โดยภาพรวมตอนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าจะตายกันในวันสองวัน แต่แนวโน้มมันก็ยังคงเป็นโรคที่รุนแรง ล่าสุดเจ้าก้อนในสมองเองก็มีการกำเริบ ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาฉายแสงรังสีรักษาทั่วทั้งศีรษะ ซึ่งแน่นอนว่าการเอาเนื้อสมองทั้งหมดไปรับรังสีนั้นจะต้องเกิดผลข้างเคียงทางสมองแน่ๆ แค่เกิดเร็วหรือช้า เกิดมากหรือน้อยเท่านั้น ผมต้องเริ่มทานยาทางสมอง รับผลข้างเคียงจากยาเหล่านั้น เพียงเพื่อให้สมองผมจะยังคงพอทำงานได้ที่หกเดือนหลังจากนี้

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม
“ทำไมเรายังตายไม่ได้นะ?”

ผมถามตัวเองในระหว่างรับการรักษาในช่วงที่ผ่านมา

ผมเองไม่ใช่วันรุ่นคนเดียวของประเทศนี้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายครับ มีอีกหลายคนที่ชีวิตต้องเผชิญกับปัญหาหรือโรคร้ายที่ไม่รู้จะผ่านไปได้ยังไง ต้องเจอกับความจริงที่แสนโหดร้ายของโลกใบนี้ที่อาจจะมากกว่าที่ผมเจอด้วยซ้ำ

มันคงเป็นธรรมดาหากเราจะเกิดคำถามว่า
“เราสู้ไปทำไมวะ?”
“เราอดทนต่อไปเพื่ออะไรวะ?”

วันที่เหตุผลในการพยายามมีชีวิตอยู่นั้น กลายเป็นสิ่งที่ต้องมีพลังมากพอที่จะทำให้เรายังสู้ต่อ
ผมเองใช้เวลาหาคำตอบนานมากเลยครับ
เพราะสำหรับผมแล้วมันยากครับ ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่า การที่ยังไม่ได้ตำแหน่งวิชาการ ยังไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือยังไม่ได้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเป็นเหตุผลให้อดทนสู้ต่อ 

สมมติวันนี้ผมหายไป ก็จะมีคนมาทำงานแทนผมได้ ทีมงานผมจะยังเข้มแข็ง น้องสาวและพ่อแม่ผมก็ดูแลตัวเองได้ดีมาก ไม่น่าเป็นห่วงเลย เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ผมรักทั้งหลายนั้นก็มีชีวิตที่ยอดเยี่ยม พวกเขาคงจะคิดถึงผม คงจะเสียใจถ้าผมหายไปแหละ แต่ผมก็เชื่อว่าเขาจะยังจำเรื่องราวตอนที่เราอยู่ด้วยกันได้ และเชื่อว่าเรื่องราวของเราจะเป็นสิ่งดีๆในชีวิตพวกเขาในวันที่ผมไม่อยู่

ผมก็เลยเกิดความคิดแว่บขึ้นมาว่า หรือจริงๆ
“...เราไม่ต้องอดทนต่อแล้วก็ได้ไหม?”

แต่
ผมว่าผมก็ยังอยากร้องเพลงในงานแต่งตัวเองนะ
ผมยังอยากชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้านใหม่
ยังอยากไปดูคอนเสิร์ตโปเตโต้อีกสักครั้ง
ยังหวังจะได้เห็นรัฐบาลที่จริงจังในการแก้ปัญหาฝุ่นควันของประเทศ

รวมถึงการที่ผมกำลังนั่งเขียนเพจสู้ดิวะอยู่ตอนนี้ ถึงมันจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายอะไร

แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่า

“การที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลยนี่นา”
และที่สำคัญที่สุด
เมื่อผมหันไปมองทันตแพทย์หญิงหน้าตาดีมีอนาคต ที่ลางานมานอนเฝ้าผมที่โรงพยาบาลตลอดทั้งช่วงการฉายแสงนี้

ผู้หญิงที่บอกผมทุกวันว่า
“เช้าแล้วนะ วันนี้โลกให้เวลาเรามาใช้ด้วยกันเพิ่มอีกหนึ่งวันแล้ว ดีจังเลยเนาะ”

ผู้หญิงที่อาจจะรักผม มากกว่าที่เขารักตัวเอง 
ผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ก็ยัง ‘ยุติธรรม’ แม้จะต้องมาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแบบนี้
ดังนั้น 
ผมจึงให้เหตุผลในการต่อสู้กับตัวเองในตอนนี้ว่า
“เพราะยังอยากใช้เวลากับพีมให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ยังอยากมีช่วงเวลาที่น่าจดจำด้วยกันอีกเยอะๆ อยู่เป็นของขวัญให้กันและกันแบบนี้อีกสักหน่อย ร่วมกันสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อวันหนึ่งที่เวลาของผมมาถึง พีมจะใช้ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นความอบอุ่นให้เขายังมีชีวิตที่มีความสุขต่อไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ
.
สำหรับผมแล้ว เหตุผลเหล่านี้มีพลังมากพอที่จะช่วยให้ผมยังอดทนกับทุกอย่างที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตต่อจากนี้แล้วมั้งครับ
นี่คงเป็นคำตอบสำหรับผมในวันนี้ 
ที่มีต่อคำถามว่า
“สู้ไปทำไมวะ”

แล้วทุกท่านล่ะครับ 
อะไรเป็นเหตุผลให้ท่านยังพยายามอดทนต่อสู้กับชีวิตที่ไม่ได้สวยงามนี้อยู่?
.
ผมเอง เคยอ่านคำถามนี้มาก่อนครับ ตอนนั้นเข้าไปอ่านคำตอบของคนอื่นด้วย คนไทยน่ารักครับ คำตอบก็หลากหลายกันไปตามสภาพชีวิตที่แต่ละคนเจออยู่ 
ผมเจอว่าเหตุผลที่ยังตายไม่ได้นั้นมันเป็นไปได้ทุกอย่างเลยครับ

ตั้งแต่การกลัวไม่มีคนให้อาหารแมว กลัวต้นไม้ที่บ้านตาย การรอของที่ pre-ordered ไว้มาส่ง หรือการรอดู Attack on titan final season ปลายปีนี้

เหตุผลเหล่านั้นมันอาจเพียงพอแล้วให้หลายคนยังอยากต่อสู้กับชีวิตต่อไป 
ซึ่งผมอ่านแล้วยิ้มตามกับทุกคำตอบเลยจริงๆครับ รู้สึกยินดีกับเขาเหล่านั้นมากๆ
.
ยังไงก็ตาม โลกนี้ยังมีคนอีกมาก ที่ชีวิตอาจจะไม่สามารถหาเหตุผลที่เพียงพอในการมีชีวิตอยู่เจอได้ด้วยตัวเองแล้ว
ส่วนตัวผมมองว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่า 
เราต้องการ ‘ความช่วยเหลือ’ แล้วนะ
อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นครับ
อย่าลังเลที่จะปรึกษาบุคคลกรที่ดูแลเรื่องสุขภาพจิต 
อย่างผมเองก็ได้ปรึกษาเพื่อน ปรึกษาอาจารย์หมอจิตเวชเพื่อช่วยให้ผมจัดการกับโจทย์ที่ยากแบบนี้ได้ดีขึ้นครับ

หรืออย่างน้อยที่สุด
ทักเพจผมมาก็ได้ครับ ผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและคงไม่สามารถตอบทุกคนได้ดีแบบทันที
แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังและยินดีที่จะให้กำลังใจกับทุกคนจริงๆครับ

ส่วนคนที่ชีวิตยัง "โชคดีพอ" ที่จะไม่เกิดคำถามพวกนี้กับตัวเอง ผมก็ยังคิดว่าการที่เราพยายามหาเหตุผลนั้น
ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น
จริงไหมครับ

ขอให้ทุกท่านพบ 
“เหตุผลในการมีชีวิตอยู่” ของตัวเองครับ

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul ...

สำหรับประวัติของ คุณหมอกฤตไท หรือ อ.นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล เป็นอาจาย์หมอในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ก่อนสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ เรียนแพทย์ 6 ปี ต่อเฉพาะทางอีก 3 ปี ในสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นแพทย์ใช้ทุนร่วมกับเรียนต่อเฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

ในระหว่างที่เรียนต่อเฉพาะทาง คุณหมอกฤตไท ก็เรียนด้านระบาดวิทยาคลินิกเพิ่มอีกสาขา เป็นศาสตร์ของการตอบโจทย์ ตอบปัญหาของหมอในกระบวนการรักษาคนไข้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ สร้างงานวิจัยเพื่อช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้ดีขึ้น และยังเรียนปริญญาโทอีกใบด้านวิทยาการข้อมูล หรือ Data Science คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ก่อนจะเรียนจบ และเพิ่งได้รับบรรจุเป็นอาจารย์ ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว เพิ่งทำงานเป็นอาจารย์ได้ 2 เดือน และกำลังสร้างทีมด้าน Clinical Epidemiology

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

โดยก่อนหน้านี้ คุณหมอกฤตไท เคยทำผลงานโครงการชุมชน และได้นำเสนอในงาน workshop ของราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นการคัดผลงานจากทั่วประเทศเหลือแค่ 8 คน ซึ่งการันตีถึงความสามารถและความไฟแรงของคุณหมอได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่าคุณหมอจะพบว่า ตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายได้ราว 1 เดือน แต่คุณหมอก็ยังคงใจสู้ จนได้เปิดเพจชื่อ "สู้ดิวะ" ขึ้นมาแชร์เรื่องราวของตัวเอง ซึ่งก็สร้างพลังและกำลังใจให้กับหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก สมกับเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง ทีมข่าวและคนไทยทกคน ขอร่วมส่งกำลังใจให้กับ คุณหมอกฤตไท ให้มีกำลังใจที่ดีตลอดไป เป็นกำลังใจให้คุณหมอไทคนเดิม #สู้ๆ

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เฟซบุ๊ก Picky Nalinee

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

อัปเดตคุณหมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ มะเร็งลามทั่วร่างกาย ชีวิตไม่เหมือนเดิม

logoline