
เกาะติดสถานการณ์โรคฝีดาษลิงในไทยยังคงแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า สถานการณ์ล่าสุดของโรคฝีดาษวานรในประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม - 18 กันยายน 2566) มีรายงานพบผู้ป่วยรวม 385 ราย เสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ในสัปดาห์นี้ พบว่าจำนวนยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 42 ราย เพศชาย 41 ราย เพศหญิง 1 ราย แบ่งเป็นสัญชาติไทย 38 ราย หรือ 90.5% เมียนมา 2 ราย จีน 1 ราย อิตาลี 1 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ที่พบเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย 29 ราย หรือ 69% ของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายรักชาย 33 ราย Bisexual 3 ราย ชายรักหญิง 3 ราย ไม่ระบุ 3 ราย และผู้ป่วยใหม่ 17 ราย หรือ 40.5% มีประวัติเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่มีประวัติเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยสงสัยฝีดาษวานร ได้แก่
หากมีประวัติดังกล่าว ให้สังเกตอาการตนเองภายหลังสัมผัสผู้ป่วยภายใน 21 วัน หากมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู คอ ขาหนีบ หรือมีอาการเจ็บคอ คัดจมูก ไอ มีผื่น ตุ่มน้ำ ตุ่มหนองขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบริเวณรอบๆ
รวมถึงมีผื่น ตุ่มน้ำ ตุ่มหนองขึ้นตามมือ เท้า หน้าอก ใบหน้า บริเวณปาก หรือ อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา พร้อมกับแยกตัวออกจากสมาชิกในครอบครัว ที่พัก หรือ สถานที่ทำงาน
อย่างไรก็ดี ขอเตือนว่า โรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร สามารถป้องกันได้ โดยงดมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก ไม่สัมผัสแนบเนื้อกับผู้ที่มีผื่น ตุ่มหรือหนอง แนะนำให้ล้างมือบ่อยๆ และไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และขอให้หน่วยงานสาธารณสุขทุกจังหวัดร่วมกันเฝ้าระวังติดตามกลุ่มเสี่ยง พร้อมทั้งสื่อสารวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อ
ทบทวนอีกสักครั้ง!!
"โรคฝีดาษลิง" อาการเป็นอย่างไร กี่วันแพร่เชื้อ อันตรายแค่ไหน ล่าสุดดับ 1 ราย
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ตระกูลแทะ โรคที่ติดจากสัตว์สู่คน แม้มีโอกาสติดน้อยแต่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมทำความรู้จักกับอาการแรกเริ่ม และวิธีป้องกันโรคฝีดาษลิง ล่าุดในไทยพบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย
จากกรณีที่กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรคฝีดาษวานรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในกลุ่มชายรักชาย และรับรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีติดฝีดาษลิงเสียชีวิตรายแรกในไทย เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องพบโรครวมทั้งเชื้อเริมและซิฟิลิส มีผื่นแผลจากโรคฝีดาษวานรที่รุนแรง
ฝีดาษลิง (monkeypox) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากสัตว์ ซึ่งมีอาการแสดงในมนุษย์คล้ายคลึงกับฝีดาษหรือไข้ทรพิษ มีรายงานอุบัติการณ์เกิดการระบาดในประเทศแถบทวีปแอฟริกา เนื่องในปัจจุบันมีการเดินทางข้ามทวีป ทำให้มีการเกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงส่วนอื่นของโลก เช่น ยุโรป และอเมริกา ฝีดาษลิง มีการรายงานครั้งแรกในมนุษย์ในปี 1970
อาการเริ่มแรกของโรคฝีดาษลิง
1. มีไข้ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน
2. จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง
3. ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 10
เชื้อฝีดาษลิงติดต่อกันอย่างไร
ฝีดาษลิงอาจแพร่กระจายได้เมื่อมีการเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ โดยไวรัสชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยแตกบนผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ หรือผ่านทางตา จมูก หรือปาก ยังไม่เคยมีการระบุว่า ฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่เชื้อโรคสามารถส่งต่อกันได้ผ่านการสัมผัสกันโดยตรงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดในหลายประเทศครั้งล่าสุดผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่ปกติ” เนื่องจากการแพร่ระบาดจากคนสู่คนนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก
โรคฝีดาษลิง มี 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ West African Clade ซึ่งอัตราป่วยตายอยู่ที่ 1% ต่ำกว่าสายพันธุ์ Central African Clade ซึ่งมีอัตราป่วยตาย 10% มีสัตว์ที่เป็นรังโรค คือ สัตว์ฟันแทะและลิง ติดต่อจากสัตว์สู่คน ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือแผลของสัตว์ที่ป่วย
ส่วนการติดจากคนสู่คน จะผ่านการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยมากๆ สัมผัสกับแผลหรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยโดยตรง หรือเสื้อผ้าของใช้ผู้ป่วยที่มีสารคัดหลั่ง สำหรับระยะฟักตัวอยู่ที่ 5-21 วัน
ความแตกต่างของโรคฝีดาษลิง และโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่พบรอยโรคเป็นตุ่มน้ำ คือ ไข้ทรพิษ เริม สุกใส และงูสวัด โรคที่แยกจากฝีดาษลิงได้ยากที่สุด คือ ไข้ทรพิษ หรือ ฝีดาษ ซึ่งมีอาการนำคล้ายกันคือ ไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหลัง
แต่ในฝีดาษลิงมักพบต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย ขณะที่ไข้ทรพิษมักมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ปวดท้องได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับโรคติดเชื้อจากไวรัสอื่นที่พบได้บ่อยกว่า เช่น โรคสุกใส พบว่าลักษณะของอาการแสดงทางผิวหนังแม้จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างโรคฝีดาษลิง และโรคสุกใส โดยที่เริ่มจากเป็นผื่นแดงเล็กๆ กลายเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำใส และตุ่มหนอง ที่กระจายทั่วตัว ตามลำดับ
แต่ในฝีดาษลิงและไข้ทรพิษ การกลายของแต่ละระยะของรอยโรค จากผื่นแดง เป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำใส และตุ่มหนอง ซึ่งต่อมาจะตกสะเก็ด รอยโรคจะอยู่ในระยะเดียวกัน ขณะที่ในโรคสุกใส รอยโรคแต่ละตำแหน่งจะมีการเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ทำให้ผู้ป่วยอาจจะพบรอยโรคในทุกระยะในเวลาเดียวกันได้
โรคติดเชื้อไวรัสอื่นที่มีอาการแสดงทางผิวหนังเป็นตุ่มน้ำ เช่น งูสวัด และ เริม รอยโรคมักจะไม่มีการกระจายตัวไปทั่ว โดยงูสวัดจะอยู่ในแนวของเส้นประสาทและเริม มักมีรอยโรคเป็นกลุ่มในบริเวณเล็ก ๆ เท่านั้น จึงมีความแตกต่างจากโรคฝีดาษลิง
อย่างไรก็ตาม กรณีโรคฝีดาษลิงที่มีรอยโรคเล็กน้อยในบริเวณแคบๆ ที่ไม่กระจายตัว อาจจะแยกได้ยาก จากโรคกลุ่มนี้ ทำให้ต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติมและการแยกชนิดเชื้อด้วยวิธีการพิเศษทางห้องปฏิบัติการ สำหรับโรคการติดเชื้อไวรัสที่ออกผื่น เช่น หัด หัดเยอรมัน ไข้เลือดออก ลักษณะอาการทางผิวหนัง มักจะเป็นผื่นแดง
การพบตุ่มน้ำนั้นเกิดได้น้อยมาก ทำให้สามารถแยกโรคจากโรคฝีดาษลิงได้ หากมีอาการดังกล่าว เเนะนำให้รีบมาพบเเพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยเเละรับการรักษาจากเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยทันที
การป้องกันควบคุมโรคฝีดาษลิง เริ่มต้นด้วยการป้องกันตนเอง
ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วย การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85%
โดยก่อนหน้าที่จะกวาดล้างไข้ทรพิษได้นั้น มีการฉีดวัคซีนหรือที่เรียกกันว่าการปลูกฝี ซึ่งจะช่วยป้องกันทั้งสองโรคนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อนจึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ
ประชาชนทั่วไป หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422