
ชวนสายข่าว สายการเมือง และที่ไม่น่าพลาดก็คือสายมู มาล้อมวงกันตรงนี้ จับจ้องทุกตัวอักษรให้ดี เพราะจะได้อะไรดีๆ จากบทความนี้แน่นอน
วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนคนดัง ส่งโพสต์บทความชวนอ่าน ใจความระบุว่า
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากต้องพึ่งเทพหรือพระเจ้าองค์ใดเพื่อจะมีชีวิตที่ดี ก็คงได้หลับถึงชาติหน้า"
ผู้อ่านคนหนึ่งเขียนมาบอกว่า อยากให้ผมเขียนให้คนหายงมงายเรื่อง (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเป็นข่าวในตอนนี้)
คำตอบของผมคือ ผมก็เขียนไปแล้ว เป็นหนังสือเล่มหนาชื่อ "หลับถึงชาติหน้า" แต่ไม่มีใครอ่าน
คงเป็นหนังสือเจ็บตัวอีกเล่ม ทั้งที่ผมเห็นว่าเป็นหนังสือสำคัญ (ถ้ามีเงิน อยากพิมพ์แจกฟรีเลย)
ความจริงผมก็ทำนายแต่แรกแล้วว่า
หนังสือแนวต่อต้านความงมงาย หรือพูดง่ายๆ คือ 'ชนสายมูตรงๆ' น่าจะไปลำบาก (ปรากฏว่าทำนายแม่นจริงๆ น่าจะไปทำงานสายอื่น)
แต่ก็ต้องเขียน
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราเชื่อเรื่องแปลกๆ ง่ายกว่าเชื่อเรื่องที่พิสูจน์แล้ว เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แล้วสบายใจกว่าเชื่อหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยคำกล่าวยอดฮิตที่ใช้กันผิดๆ คือ "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์อำนาจเหนือธรรมชาติได้"
คนพูดอาจไม่รู้ว่า คำว่า 'วิทยาศาสตร์' หมายถึงกระบวนการค้นหาความจริง
หลายครั้งเมื่อโพสต์เรื่องต้านไสยศาสตร์ ก็มีผู้อ่านแย้งว่า "ถ้าคุณวินทร์ศึกษาเรื่องนี้มากกว่านี้ จะไม่พูดอย่างนี้"
ผมก็มักแย้งกลับ(ในใจ)ว่า ""ถ้าคุณศึกษาเรื่องที่ผมศึกษามากกว่านี้ ก็จะไม่พูดอย่างนี้เหมือนกัน"
เอาละ การบอกคนเชื่อไสยศาสตร์ว่า "อย่างมงาย" โดยไม่ให้เหตุผล ก็อาจเป็นความงมงายชนิดหนึ่ง
แต่จะรู้ว่าเรื่องเรื่องหนึ่งงมงายหรือไม่ ก็ต้องศึกษามากกว่า-ลึกกว่าแค่ความเชื่อ ใช่หรือไม่? ว่ากันที่หลักฐานใช่หรือไม่?
ปัญหาคือ เรายังไม่มีหลักฐานแบบจะแจ้งทั้งสองฝ่าย สายวิทยาศาสตร์ก็รอก่อน แต่สายมูก็เชื่อเลย
คนไม่น้อยใช้ตรรกะว่า "ในเมื่อการพิสูจน์ว่าไสยศาสตร์มีจริงกับการพิสูจน์ว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง ทำไม่ได้ทั้งคู่ ก็แปลว่าเราสามารถให้คะแนนทั้งสองฝั่ง 50-50 เท่ากัน"
นักชีววิทยาอังกฤษ ริชาร์ด ดอว์กินส์ บอกว่า ใช้ตรรกะอย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันมีอีกปัจจัยที่ต้องนำมาคิดด้วย คือ likelihood (หรือ probability) = ความน่าจะเป็น
เราต้องใช้หลักฐานเท่าที่เราพบทางวิทยาศาสตร์มาเป็นมาตรวัด likelihood หรือ probability ด้วย
ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อเรารู้สเกลของจักรวาล ระยะห่างของดวงดาว (ซึ่งเป็นหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแล้ว) likelihood ของ UFO มาเยือนโลกก็แทบใกล้ศูนย์ เพราะระยะทางในจักรวาลไกลเกินไปที่จะเดินทางมาด้วยตัวเอง
เช่นกัน ถ้าเรารู้ระยะเวลาการดำรงอยู่ของมนุษย์ในจักรวาล likelihood ของไสยศาสตร์ก็แทบใกล้ศูนย์เช่นกัน
likelihood เป็นมาตรชี้ว่า ไสยศาสตร์มีโอกาสเป็นจริงน้อยกว่า 50% ไม่ใช่ 50-50
ในหนังสือ หลับถึงชาติหน้า ผมเขียนถึงเรื่อง คาร์ล เซเกน ผู้เปรียบเวลาของทั้งจักรวาลเท่ากับปฏิทินหนึ่งปีโลก
นั่นคือ 1 มกราคม เกิด บิ๊ก แบง
1 พฤษภาคม เกิดดาราจักรทางช้างเผือก
1 กันยายน กำเนิดระบบสุริยะ
มนุษย์สายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ คือเราเพิ่งกำเนิดบนโลกในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของคืนวันที่ 31 ธันวาคม เราเพิ่งมาในชั่วโมงสุดท้าย และโหราศาสตร์ไสยศาสตร์ก็เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้ายของปฏิทินจักรวาล
ในมุมมองของจักรวาล มนุษย์เป็นแค่ขี้ผงที่ไร้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง ไม่สำคัญขนาดที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองเราพวกเดียว
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เขียนว่า "ถ้าหากมีพระเจ้าองค์ใดที่งานหลักคือดูแลมนุษย์ ก็คงไม่ใช่พระเจ้าที่มีความสำคัญอะไร"
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากต้องพึ่งเทพหรือพระเจ้าองค์ใดเพื่อจะมีชีวิตที่ดี ก็คงได้หลับถึงชาติหน้า
วินทร์ เลียววาริณ
15-8-66