svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

บทความน่าอ่าน น่าคิดตาม คมความคิดจาก "วินทร์ เลียววาริณ" 

กำลังเป็นกระแสที่สังคมโซเชียลจับตามากๆ ล่าสุด วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนคนดัง ส่งโพสต์บทความชวนอ่าน ว่าด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเป็นข่าวในตอนนี้ แต่ทั้งนี้ ตนขออนุญาตไม่เอ่ยนามให้เกิดการกระทบกระทั่งใดๆ คอข่าวไปส่องโพสต์นี้กันดีกว่า

ชวนสายข่าว สายการเมือง และที่ไม่น่าพลาดก็คือสายมู มาล้อมวงกันตรงนี้ จับจ้องทุกตัวอักษรให้ดี เพราะจะได้อะไรดีๆ จากบทความนี้แน่นอน

วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนคนดัง ส่งโพสต์บทความชวนอ่าน ใจความระบุว่า

"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากต้องพึ่งเทพหรือพระเจ้าองค์ใดเพื่อจะมีชีวิตที่ดี ก็คงได้หลับถึงชาติหน้า"

ผู้อ่านคนหนึ่งเขียนมาบอกว่า อยากให้ผมเขียนให้คนหายงมงายเรื่อง (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเป็นข่าวในตอนนี้)

คำตอบของผมคือ ผมก็เขียนไปแล้ว เป็นหนังสือเล่มหนาชื่อ "หลับถึงชาติหน้า" แต่ไม่มีใครอ่าน

คงเป็นหนังสือเจ็บตัวอีกเล่ม ทั้งที่ผมเห็นว่าเป็นหนังสือสำคัญ (ถ้ามีเงิน อยากพิมพ์แจกฟรีเลย)

ความจริงผมก็ทำนายแต่แรกแล้วว่า 
หนังสือแนวต่อต้านความงมงาย หรือพูดง่ายๆ คือ 'ชนสายมูตรงๆ' น่าจะไปลำบาก (ปรากฏว่าทำนายแม่นจริงๆ น่าจะไปทำงานสายอื่น) 

แต่ก็ต้องเขียน

เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราเชื่อเรื่องแปลกๆ ง่ายกว่าเชื่อเรื่องที่พิสูจน์แล้ว เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แล้วสบายใจกว่าเชื่อหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยคำกล่าวยอดฮิตที่ใช้กันผิดๆ คือ "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์อำนาจเหนือธรรมชาติได้"
คนพูดอาจไม่รู้ว่า คำว่า 'วิทยาศาสตร์' หมายถึงกระบวนการค้นหาความจริง

หลายครั้งเมื่อโพสต์เรื่องต้านไสยศาสตร์ ก็มีผู้อ่านแย้งว่า "ถ้าคุณวินทร์ศึกษาเรื่องนี้มากกว่านี้ จะไม่พูดอย่างนี้"
ผมก็มักแย้งกลับ(ในใจ)ว่า ""ถ้าคุณศึกษาเรื่องที่ผมศึกษามากกว่านี้ ก็จะไม่พูดอย่างนี้เหมือนกัน"
เอาละ การบอกคนเชื่อไสยศาสตร์ว่า "อย่างมงาย" โดยไม่ให้เหตุผล ก็อาจเป็นความงมงายชนิดหนึ่ง
แต่จะรู้ว่าเรื่องเรื่องหนึ่งงมงายหรือไม่ ก็ต้องศึกษามากกว่า-ลึกกว่าแค่ความเชื่อ ใช่หรือไม่? ว่ากันที่หลักฐานใช่หรือไม่?
ปัญหาคือ เรายังไม่มีหลักฐานแบบจะแจ้งทั้งสองฝ่าย สายวิทยาศาสตร์ก็รอก่อน แต่สายมูก็เชื่อเลย 

บทความน่าอ่าน น่าคิดตาม คมความคิดจาก "วินทร์ เลียววาริณ"  บทความน่าอ่าน น่าคิดตาม คมความคิดจาก "วินทร์ เลียววาริณ" 

คนไม่น้อยใช้ตรรกะว่า "ในเมื่อการพิสูจน์ว่าไสยศาสตร์มีจริงกับการพิสูจน์ว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง ทำไม่ได้ทั้งคู่ ก็แปลว่าเราสามารถให้คะแนนทั้งสองฝั่ง 50-50 เท่ากัน"

นักชีววิทยาอังกฤษ ริชาร์ด ดอว์กินส์ บอกว่า ใช้ตรรกะอย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันมีอีกปัจจัยที่ต้องนำมาคิดด้วย คือ likelihood (หรือ probability) = ความน่าจะเป็น
เราต้องใช้หลักฐานเท่าที่เราพบทางวิทยาศาสตร์มาเป็นมาตรวัด likelihood หรือ probability ด้วย
ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อเรารู้สเกลของจักรวาล ระยะห่างของดวงดาว (ซึ่งเป็นหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแล้ว) likelihood ของ UFO มาเยือนโลกก็แทบใกล้ศูนย์ เพราะระยะทางในจักรวาลไกลเกินไปที่จะเดินทางมาด้วยตัวเอง
เช่นกัน ถ้าเรารู้ระยะเวลาการดำรงอยู่ของมนุษย์ในจักรวาล  likelihood ของไสยศาสตร์ก็แทบใกล้ศูนย์เช่นกัน
likelihood เป็นมาตรชี้ว่า ไสยศาสตร์มีโอกาสเป็นจริงน้อยกว่า 50% ไม่ใช่ 50-50

ในหนังสือ หลับถึงชาติหน้า ผมเขียนถึงเรื่อง คาร์ล เซเกน ผู้เปรียบเวลาของทั้งจักรวาลเท่ากับปฏิทินหนึ่งปีโลก 
นั่นคือ 1 มกราคม เกิด บิ๊ก แบง 
1 พฤษภาคม เกิดดาราจักรทางช้างเผือก
1 กันยายน กำเนิดระบบสุริยะ

มนุษย์สายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ คือเราเพิ่งกำเนิดบนโลกในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของคืนวันที่ 31 ธันวาคม เราเพิ่งมาในชั่วโมงสุดท้าย และโหราศาสตร์ไสยศาสตร์ก็เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้ายของปฏิทินจักรวาล
ในมุมมองของจักรวาล มนุษย์เป็นแค่ขี้ผงที่ไร้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง ไม่สำคัญขนาดที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองเราพวกเดียว

อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เขียนว่า "ถ้าหากมีพระเจ้าองค์ใดที่งานหลักคือดูแลมนุษย์ ก็คงไม่ใช่พระเจ้าที่มีความสำคัญอะไร"

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากต้องพึ่งเทพหรือพระเจ้าองค์ใดเพื่อจะมีชีวิตที่ดี ก็คงได้หลับถึงชาติหน้า

วินทร์ เลียววาริณ
15-8-66

บทความน่าอ่าน น่าคิดตาม คมความคิดจาก "วินทร์ เลียววาริณ" 

บทความน่าอ่าน น่าคิดตาม คมความคิดจาก "วินทร์ เลียววาริณ"