svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"ร่มธรรม" เชื่อ พรก.อาชญากรรมไซเบอร์ ช่วยแก้ปัญหาถูกหลอกโอน

"ร่มธรรม" เชื่อ พรก.อาชญากรรมไซเบอร์ ช่วยแก้ปัญหาถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน พร้อมแนะ 6 ข้อสังเกต เร่งรัดการคืนเงินผู้เสียหาย เพิ่มการทำงานเชิงรุก ลดความเดือดร้อน ปชช.

5 สิงหาคม 2566 นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์อาชญากรรมไซเบอร์และประสิทธิภาพการบังคับใช้พระราชกำหนด (พรก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 โดยระบุว่า การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นปัญหาที่เร่งด่วนและสำคัญระดับชาติ เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการถูกหลอกลวง และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นปัญหาทั้งด้านความมั่นคง และเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศ

โดยปัจจุบันสถิติอาชญากรรมไซเบอร์ที่ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 - 31 พฤษภาคม 2566 มีทั้งสิ้น 296,243 คดี หรือประมาณ 525 คดีต่อวัน มูลค่าความเสียหายสูงถึง 40,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้สูญเสียทรัพย์สินมูลค่าสูงสุดถึง 100 ล้านบาทต่อราย ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤตที่ต้องดำเนินการยับยั้ง แก้ไข และเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
 

นายร่มธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพที่ปรากฏในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การหลอกขายสินค้าออนไลน์ การหลอกให้ทำงานเสริมผ่านช่องทางออนไลน์ การหลอกให้กู้เงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว การหลอกให้ลงทุนด้วยการสร้างข้อมูลปลอมชักชวนสร้างรายได้ การหลอกให้รักแล้วลงทุน โอนเงิน หรือยืมเงิน การปลอมหรือแฮกบัญชีโซเชียลมีเดียแล้วหลอกยืมเงินคนที่รู้จัก   การพนันออนไลน์ การหลอกใต้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์ทางไกลเพื่อขโมยข้อมูล เป็นต้น และเมื่อผู้กระทำผิดได้รับเงินจากผู้เสียหายแล้ว จะโอนเงินของผู้เสียหายต่อไปยังบัญชีอื่น ๆ หรือที่เรียกว่าบัญชีม้าของผู้ร่วมขบวนการอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามหลักการของ พรก.ฉบับนี้จะมีส่วนช่วยคุ้มครองประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากภัยทางการเงิน โดยช่วยลดขั้นตอนให้ผู้เสียหายสามารถแจ้งธนาคารให้ระงับบัญชีต้องสงสัยได้โดยตรงอย่างรวดเร็ว
 
ทั้งนี้ นายร่มธรรม ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมถึงการบังคับใช้ พรก.และประสิทธิภาพของการนำกฎหมายไปปฏิบัติ โดยระบุว่า ตนมีความเห็นชอบที่จะมี พรก.หรือกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ก็มีประเด็นและข้อสังเกตบางประการ ดังนี้

1. เหตุใดจึงต้องออกกฎหมายในรูปของพระราชกำหนด (พรก.) เนื่องจากตนเห็นว่า การออกกฎหมายในรูปของพระราชบัญญัติ (พรบ.) จะมีความละเอียดชัดเจน และรอบคอบมากกว่า เพราะต้องผ่านความเห็นชอบของสภาที่มีการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ โดย สส. และผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ จึงน่าจะมีความเหมาะที่สุด
 
2. ตั้งแต่การบังคับใช้ พรก.ฉบับนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 สามารถป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ได้มากน้อยเพียงใด จำนวนผู้ได้รับผลกระทบลดลงหรือไม่ สามารถอาญัติบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้มากน้อยเพียงใด เพราะปัจจุบันยังคงมีมิจฉาชีพปลอมแปลงเพจตำรวจไซเบอร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลอกผู้เสียหายโดยอ้างว่าจะสามารถติดตามหรือกู้คืนทรัพย์สินที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้
 
3. ตามความในมาตรา 13 ในวาระแรก ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตนอยากทราบว่าขณะนี้ คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นนี้ได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง และมีแนวทางหรือข้อเสนอแนะในเบื้องต้นเป็นอย่างไร
 
4. มีวิธีการและกระบวนการคืนเงินให้กับประชาชนผู้ที่ถูกหลอกลวงทางไซเบอร์อย่างรวดเร็วได้อย่างไร เพราะปัจจุบันกระบวนการยึดทรัพย์ และติดตามทรัพย์ยังมีความล่าช้า ต่างจากการดำเนินการในต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ที่มีกองบัญชาการที่คอยติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ และสามารถอายัดเงินคืนได้ทันที
 
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการทำงานเชิงรุก โดยการติดตามไปถึงต้นตอของปัญหา และมีการตรวจค้นจับกุมหรือไม่ สามารถจับกุมมิจฉาชีพได้มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับจำนวนคดีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากไม่มีการคืนเงินและจับต้นตอของปัญหาไม่ได้ เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่มีทางลดลง และในความเป็นจริงผู้กระทำความผิดมีหลายบัญชีม้า ที่โอนเงินไปเป็นทอด ๆ แปลงค่าไปเป็นสกุลเงินดิจิทัล แล้วโอนออกไปต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการติดตามเงินคืนอย่างไร
 
6. ตามความในมาตรา 7 ของ พรก.นี้ อาจถูกนำไปใช้เพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นได้หรือไม่ เช่น อาจมีการแจ้งเหตุปลอมให้อาญัติบัญชี เป็นต้น ดังนั้น ควรมีการระบุข้อความให้รัดกุมยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างใน พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 29 วรรคสอง ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าได้กระทำการแจ้งโดยสุจริตไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แม้ภายหลังปรากฎว่าไม่มีการกระทำความผิดตามที่แจ้ง ซึ่งการระบุข้อความเช่นนี้ จะทำให้ พรก.ฉบับนี้รัดกุมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์เพื่อป้องกันต่อผู้แจ้งที่มีเจตนาสุจริต อีกทั้งคงวรกำหนดความผิดสำหรับการแจ้งให้อาญัติบัญชีจากผู้ที่มีเจตนาแจ้งโดยทุจริตเพื่อกลั่นแกล้ง เพิ่มเติมด้วย

 
“ เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้แล้วควรบังคับใช้ให้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ปราบปรามจับกุมและลงโทษผู้กระทำผิดได้จริงและรวดเร็ว ต้องเพิ่มบทลงโทษที่แรงกว่ากฎหมายฉบับอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีแล้วต้องไม่มีใครกล้ากระทำผิดอีก แต่ความเป็นจริงที่ปรากฎคือ ยังมีคนถูกหลอกทุกวัน ณ เวลานี้ขณะที่ผมกำลังอภิปรายอยู่นี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็กำลังทำงานอยู่เช่นกัน จนกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศนี้ ซึ่งไม่สามารถปล่อยให้เกิดต่อไปได้ อีกทั้งยังควรป้องกันและให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภัยทางไซเบอร์ สาระสำคัญที่สุด ประชาชนต้องไม่โดนหลอกอีก และประชาชนที่โดนหลอกต้องได้เงินคืน ต้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไว้ให้ได้ “ นายร่มธรรม กล่าว