
ทำความรู้จักกับ "ไวรัสซิกา"
โรคซิกา เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกาซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (flavivirus) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงที่เป็นพาหะนำโรคไข้ซิกาเป็นชนิดเดียวกันกับยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya) และไข้เหลืองสาเหตุหลักของการติดเชื้อเกิดจากการโดนยุงลายที่มีเชื้อไวรัสซิกาติดและช่องทางอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ เช่น การแพร่ผ่านทางเลือด การแพร่จากมารดาที่ป่วยสู่ทารกในครรภ์
อาการของโรค
ระยะฟักตัว : โรคไข้ซิกาใช้เวลาเฉลี่ย 4-7 วันหลังโดนยุงกัด (สั้นสุด 3 วันและยาวสุด 12 วัน)
อาการที่พบบ่อย: มีไข้ มีผื่นแดง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ซึ่งโดยปกติแล้วอาการเหล่านี้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง และเป็นอยู่ประมาณ 2-7 วัน ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์ซึ่งอาจทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีสมองเล็ก (microcephaly) หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้
การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้ซิกาโดยเฉพาะ การรักษาทำได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด
ทั้งนี้ ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยากลุ่มลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากยาบางชนิดเป็นอันตรายสำหรับโรคนี้ โดยอาจทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น
การป้องกันโรค
ไข้ซิกา ไวรัสระบาดคนท้องต้องระวัง
หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา โดยพบผู้ป่วย 33 ราย ใน 12 จังหวัด ทั้งนี้จากสถิติตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 จนถึง 18 พฤศจิกายน 2559 มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 686 ราย ซึ่งเกือบทั้งหมดหายเป็นปกติแล้ว ในส่วนของหญิงตั้งครรภ์ซึ่งถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษติดเชื้อทั้งหมด 68 ราย คลอดแล้ว 21 รายนั้น ทารกทุกรายปกติดีแต่ต้องอยู่ในการเฝ้าระวัง
“ไข้ซิกา” เกิดจากการติดเชื้อซิกาซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส จำพวกเดียวกับไวรัสไข้เหลือง ไวรัสแดง และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคเหมือนกันกับไข้เลือดออก ไข้ซิกาจริงๆ แล้วไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรหากเกิดขึ้นกับคนปกติ แต่หากเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์จะถือว่ามีความเสี่ยง เนื่องจากไวรัสอาจจะแพร่จากแม่ไปสู่ลูกได้ผ่านทางรกหรือเลือดที่มีการแลกเปลี่ยนกันและอาจส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมานั้นมีภาวะสมองเล็กและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ได้
ระยะฟักตัวของไวรัสซิกานั้นโดยปกติใช้เวลาเฉลี่ย 4-7 วัน โดยระยะสั้นที่สุดคือ 3 วัน นานที่สุด 12 วัน
อาการที่พบบ่อยคือ
มีไข้ มีผื่นแดง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดศีรษะ ซึ่งจะคล้ายกับไข้หวัด โดยจะเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วหายไป
สำหรับการรักษานั้น ยังไม่มียารักษาโดยตรง
ปัจจุบันจะรักษาตามอาการโดยการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าไข้ลดลงตามกำหนดเวลาไม่มีภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญคือการทานยาลดไข้ บรรเทาปวด แนะนำให้เป็นยาในกลุ่มพาราเซตามอล และไม่แนะนำให้ใช้ยาลดการอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ เพราะจะทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น
วิธีการป้องกันและระวังไข้ซิกาที่ดีที่สุดที่แพทย์แนะนำ ดังนี้
ที่มาข้อมูลจาก >> อ. พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
จับตาสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในไทยต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
ล่าสุดทางด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงถึง สถานการณ์ของโรคซิกา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 19 กรกฎาคม 2566 พบผู้ป่วยแล้ว 110 รายใน 20 จังหวัด แนวโน้มผู้ป่วยเริ่มสูงขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และสูงสุดในเดือนมิถุนายนจำนวน 30 ราย
ในขณะที่ในเดือนกรกฎาคมนี้ พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้ว 6 ราย ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี 2 ราย พิษณุโลก ระยอง สมุทรสงคราม และตราด จังหวัดละ 1 รายซึ่งจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดการแท้งหรือทารกเกิดภาวะศีรษะเล็กได้
ทั้งนี้ จากการติดตามหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสซิกา ตั้งแต่ปี 2559-2565 จำนวน 241 ราย พบมีการแท้ง 4 ราย เด็กที่คลอดมีภาวะศีรษะเล็กและมีผลบวกต่อไวรัสซิกา 3 รายซึ่งเมื่อได้ติดตามพัฒนาการเด็กจนครบ 2 ปี จำนวน 77 ราย พบมีพัฒนาการผิดปกติ 4 ราย
สำหรับการเฝ้าระวังทารกแรกคลอด 2,187 ราย พบความผิดปกติแต่กำเนิดที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสซิกา 15 ราย สามารถติดตามพัฒนาการจนครบ 2 ปี ได้ 4 ราย พบความผิดปกติด้านพัฒนาการ 3 ราย ขณะที่การเฝ้าระวังกลุ่มอาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย (Guillain Barre' syndrome :GBS) 145 ราย พบสัมพันธ์กับไวรัสซิกา 5 ราย