
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ 11) ในฐานะประธาน คกก.ฯ MIU (MOPH Intelligence Unit) เปิดเผยว่า จากการศึกษาของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบาย
ด้านสุขภาพ (HITAP) กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการเงินการคลังสุขภาพ เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของ
โรคโควิด 19 ในประเทศไทยพบว่า แหล่งงบประมาณหลักด้านสาธารณสุขในการรับมือการระบาดของโรคโควิด 19 มาจากงบกลางและงบเงินกู้กรอบวงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ 5 แสนล้านบาท
โดยค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคโควิด 19 ระหว่างปี 2563-2565 รวมทั้งสิ้น 444,294 ล้านบาท เป็นค่าบริการสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโควิด 19 เช่น ค่าตรวจคัดกรอง ค่ารักษาพยาบาล ค่าฉีดวัคซีน เป็นต้น ในสัดส่วนมากที่สุดประมาณ 260,174 ล้านบาท คิดเป็น 59% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ตามด้วยการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีน รวม 77,987 ล้านบาท คิดเป็น 17% และค่าตอบแทน เยียวยา ชด เชย และเสี่ยงภัยสำหรับบุคลลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง 57,499 ล้านบาท คิดเป็น 13 ส่วนที่เหลือเป็นค่ายาและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ พื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ และองค์กรการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ
สำหรับสถานะเงินบำรุงของโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพบว่า เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับสถานะเงินบำรุงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่นเดียวกับภาพรวมของรายได้และอัตราการเพิ่มของสินทรัพย์ของโรงพยาบาลเอกชนที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งบ่งบอกว่าเงินที่อุดหนุนโรงพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพียงพอในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด 19
ส่วนภาวะล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนไทยในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 พบว่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ก่อนการระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุด พบว่า มีความเสี่ยงในการล้มละลายลดลง 30-33%
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลพยายามสร้างกลไกการตัดสินใจด้านการคลังสุขภาพในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ให้แตกต่างจากสถานการณ์ปกติ แต่กฎระเบียบและวิธีการใช้เงินไม่ได้แตกต่างจากกลไกเดิมมากนัก ส่งผลต่อความรวดเร็วในการตอบสนองต่อการระบาดของโรค