
อีกความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่น่าสนใจ หมอดื้อ หรือ "หมอธีระวัฒน์" หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โพสต์ระบุข้อความว่า
ท่าบริหารบรรเทาอาการเวียนบ้านหมุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับท่อน้าในหู BPPV หมอเรียกง่ายๆ ว่า "ท่าอินเดีย"
ทำได้บ่อยๆ ถ้าทำแล้วปรากฏว่าไม่ดีขึ้นมีความจำเป็นที่จะต้องหาสาเหตุของอาการเวียนบ้านหมุนอย่างอื่นต่อ
ขอบคุณครับ
เวียนหัว บ้านหมุน ทำท่าอินเดีย อาจช่วยได้
(ทำนอกบ้านระวังคนสงสัยว่าเป็นอะไร)
อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โดยที่ลักษณะเวียนเป็นครั้งละสั้นๆประมาณหนึ่งอึดใจ ไม่เกิน 1 นาที และมักจะมี “ท่าประจำ” โดยที่หันศีรษะหรือตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง
ซึ่งถ้าพลิกกลับมาเป็นท่าตรงหรือด้านตรงข้าม อาการจะทุเลาลง
นอกจากนั้นถ้ากัดฟันทนไม่ตะแคงกลับอาการเวียนจะค่อยๆหายไปเอง
ถ้าเป็นมาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย แต่ไม่มีเสียงดังในหู หรือหูได้ยินน้อยลงหรือหูดับ ไม่มีอาการ ชา อ่อนแรง ตามืด พูดไม่ชัด
ถ้าฝืนลืมตาจ้องไปที่วัตถุนิ่งๆ สักพัก อาการเหล่านี้จะดีขึ้นและไม่มีภาพซ้อน
อาการเวียนหมุนเหล่านี้ เกิดจากตะกอนน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือหินปูน หลุด = Benign paroxysmal positional vertigo (BPPV) คือ อาการเวียนบ้านหมุนที่เกิดเป็นชั่วขณะขึ้นอยู่กับท่า และไม่อันตราย
การทำให้หายได้เร็วๆ ยิ่งขึ้นนั้น ก็คือการเชียร์ ให้มีการเคลื่อนไหวเร็วๆ หรือบริหารคือให้นั่งห้อยเท้าอยู่ข้างเตียง และล้มตัวอย่างเร็วไปทางด้านขวา ให้มีหมอนรองไว้ก็ดี (ระวังคอหัก) นิ่งสักพัก
หรือถ้ามีอาการเวียนเกิดขึ้นก็รอสักครู่ จากนั้นลุกขึ้นมานั่งใหม่ และล้มตัวตะแคงไปทางด้านซ้าย ถือเป็น 1 รอบทำซ้ำๆ
ท่าบริหารลักษณะนี้อาจมีหลายท่าตามตำรา แต่อาจจะปฏิบัติที่บ้านยาก คอเคลื่อน
ง่ายกว่า คือบริหาร ท่าอินเดีย สามท่า ด้วยกันคือ
1-พยักหน้าเร็วๆ
2-ส่ายหน้าเร็วๆ
3-เอียงคอซ้ายขวาเร็วๆ ต้องทำตัวยึกยักไปด้วย
ทั้งหมดนี้ไม่ต้องขยับคอมาก
ทำได้บ่อยๆ ไปประมาณ 1-2 อาทิตย์
(ทำนอกบ้านระวังคนสงสัยว่าเป็นอะไร)
โรค BPPV นั้น เกิดจากการที่มีตะกอนหลุดลอกออกมาจากเยื่อในหูชั้นใน และตกตะกอนลงในท่อน้ำ 1 ใน 3 ท่อ ทำให้ “หนัก” ไม่เท่ากัน ดังนั้นการเคลื่อนไหวในท่าต่างๆนี้จะเป็นการทำให้ตะกอนเหล่านี้ฟุ้งกระจายกลับเข้าไปในกระเปาะหูชั้นใน ซึ่งจะมีการดูดซึมต่อ
โดยปกติแล้วจะไม่ให้ใช้ยามาก เนื่องจากยาบรรเทาอาการเวียน
เป็นการบรรเทา และเสมือนหยุดยาไม่ได้ ต้องใช้ต่อเนื่องกันนานๆเป็นเดือน เป็นปี
อาการเวียน-หมุนแต่ละครั้ง สาเหตุอาจจะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นโรคในสมอง อาจจะเกี่ยวกับ เป็นเส้นเลือดคู่หลัง (เส้นเลือดในสมองมี 2 คู่ คู่หน้าคู่หลัง )
ที่วิ่งเลาะผ่านกระดูกก้านคอเข้าไปในสมอง โดยที่ถ้าขยับศีรษะหรือหมุนบิดคอ รุนแรง เนิ่นนาน จะทำให้เส้นเลือดตันทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
หรือ เกิดจากเส้นเลือดสมองคู่หลังโก่งเข้าไปเบียดเส้นประสาทหูทรงตัว
หรือ กระเปาะน้ำในหูชั้นใน ผิดปกติ กลายเป็น น้ำในหูไม่เท่ากันที่ต่อมามีเสียงดังในหู และการได้ยินลดลง
ดังนั้น ทุกครั้งต้องจำลักษณะอาการให้ได้ เนื่องจากขณะที่มาตรวจอาจจับผู้ร้ายไม่ได้เพราะไม่มีอาการแล้ว
ชมคลิป >> หมอดื้อ เผยท่าอินเดีย
หมอธีระวัฒน์ เผย ฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้ทำร้ายปอดอย่างเดียว แต่ส่งผลต่อหัวใจในลักษณะเฉียบพลันด้วย ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 4 ในการเสียชีวิต
ทางด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ประเด็น ฝุ่น PM 2.5 โดยระบุว่า
ฝุ่นจิ๋วพิษเจอไม่นาน...หัวใจวาย
เจอฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และจิ๋วใหญ่ PM 10 กับไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เพียงแค่วันถึงสองวันโอกาสเสี่ยงตายสูงจากเส้นเลือดหัวใจตัน (acute MI) เป็นการรายงานในวารสารของสมาคมโรคหัวใจ (Journal of American College of Cardiology) วันที่ 26 มกราคม 2021 รวมทั้งบทบรรณาธิการ
ทั้งนี้ ทุกๆ ปริมาณของฝุ่นเล็กจิ๋วและจิ๋วใหญ่ที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จนกระทั่งถึงระดับ 33.3 และ 57.3 ตามลำดับ จะเสี่ยงตายต่อโรคหัวใจสูงขึ้น และเช่นเดียวกันกับความเข้มข้นของไนโตรเจนไดออกไซด์
เป็นการศึกษาในประเทศจีนในช่วงปี 2013 ถึง 2018 แต่ประเทศจีนมีการปรับตัว เตรียมการจัดการกับฝุ่นจิ๋วเหล่านี้ ตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2012 และประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ โดยเริ่มมีการติดตั้ง เครื่องวัดทุกๆ 1 ตารางกิโลเมตร โดยจะมีเครื่องวัดหนึ่งเครื่อง คอยเตือนและคอยจัดการกำจัดมลพิษเหล่านี้ ตามนโยบายเด็ดขาด จนมีความสำเร็จอยู่บ้าง
การศึกษานี้เป็นการพิสูจน์ตอกย้ำ ข้อสังเกตก่อนหน้านี้ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นจิ๋วพิษ ที่ไม่ได้ทำร้ายปอดอย่างเดียว แต่มีผลต่อหัวใจในลักษณะเฉียบพลันด้วย และไม่ใช่เป็นในลักษณะที่เป็นผลเรื้อรังเท่านั้นแบบที่เข้าใจกัน
ทั้งหมดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า พายุทราย ภูเขาไฟระเบิด การจงใจเผาป่าเพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรมอย่างอื่น และมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น จากการต้องการพลังงานจากการเผาถ่านหินฟอสซิล เหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการเกิดฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และผลกระทบจากการเผาฟอสซิล เพื่อพลังงานอย่างเดียว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างน้อย 12% ทั่วโลก
และถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันดับสี่ ในการเสียชีวิตทั้งบุรุษและสตรี และมากกว่าปัจจัยอื่นที่เกี่ยวกับไขมันสูง ระดับน้ำตาล ความอ้วน การไม่ออกกำลัง หรือภาวะไตแปรปรวนด้วยซ้ำ
การที่ต้องเผชิญกับมลภาวะเช่นนี้ ทุกนาทีทุกวันต่อเนื่องทั้งชีวิต และมลพิษที่ยังถูกปลดปล่อยออกมา จากเครื่องยนต์ จากรถ จากโรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายสุขภาพ และฝุ่นจิ๋วพิษเหล่านี้ทำให้เสียชีวิตจากโรคทางหัวใจและเส้นเลือดมากกว่า 50% ทั้งนี้ เกิดขึ้นได้แม้ว่าระดับฝุ่นพิษเหล่านี้จะต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่กำหนดตามขององค์การอนามัยโลกหรือตามมาตรฐานของประเทศต่างๆ
ประชากรโลกมากกว่า 92% จะอยู่ในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นพิษและมลภาวะทางอากาศ เกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลกมาตลอด โดยมีการประเมินว่าต้องเสียงบประมาณในการรักษาเยียวยาบำบัด สวัสดิการ เป็นล้านล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเสียชีวิตจากมลภาวะทางอากาศเหล่านี้
มลภาวะทางอากาศเหล่านี้ ทราบกันดีมานานว่าเกี่ยวข้องกับฝุ่นพิษจิ๋วเล็กและใหญ่รวมกระทั่งถึงซัลเฟอร์–ออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ และมีการศึกษาความเชื่อมโยงกับสาเหตุการตาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและระบบเส้นเลือดในประเทศทางฝั่งตะวันตกแต่ยังมีข้อจำกัดในการระบุระดับ และชนิด และขนาดของฝุ่น และผลกระทบระยะเวลาที่ส่งผลกับการตายเฉียบพลัน
การศึกษาที่มีการรายงานครั้งนี้มาจากพื้นที่มณฑลหูเป่ย และมีเมืองหลวงก็คืออู่ฮั่น
ทั้งนี้ เป็นพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศเข้มข้น และทำให้สามารถทำการศึกษาจากคนที่ตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดจำนวน 151,608 ราย ค่าเฉลี่ยรายวันของฝุ่นเล็กจิ๋ว 2.5 ในมณฑลนี้ และในหลายพื้นที่ของประเทศจีนและอินเดียอยู่ที่ 63.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และการที่ได้รับฝุ่นพิษจิ๋วเล็ก 2.5 และจิ๋วใหญ่ขึ้นขนาด 10 ไมครอนภายในหนึ่งวัน หรือในวันนั้นเองจะส่งผลกับการตายอย่างมีนัยสำคัญ
ผลที่ได้จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุกๆปริมาณที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นจิ๋ว 2.5 จะเพิ่มความเสี่ยงของการตาย 4.14% และสำหรับไนโตรเจนไดออกไซด์เพิ่มความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอีก 1.3%
จากการวิเคราะห์ในเชิงลึกในรายงานนี้ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจนกับระดับของโอโซน แต่การที่ไนโตรเจนไดออกไซด์มีส่วนในการตายทำให้มีการเพ่งเล็งถึงมลพิษ ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ของรถเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ แน่นอนคนสูงวัยอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป ตายเยอะกว่าคนหนุ่มสาวและคนที่อายุน้อยกว่า 70 ปี แต่การตายที่ไม่สมควรเหล่านี้ พบได้ในทุกกลุ่มอายุ
การระบาดของโควิด-19 ปรากฏผลชัดเจน จากการที่แทบไม่มีการใช้รถยนต์และเครื่องบินโดยสาร และมีผลต่อการที่มลภาวะฝุ่นจิ๋วเล็กเหล่านี้หายไปมาก
ทั้งนี้ เป็นความฝันของมวลมนุษยชาติที่จะเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน
ขอขอบคุณที่มา : ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha