svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ชวนคนไทยร่วมทำความรู้จัก "กาฬโรคแอฟริกาในม้า"

ทำความรู้จักโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า หลังประเทศไทยจ่อประกาศยกเลิกภายในปีนี้ รู้จักที่มาของสาเหตุ และวิธีเฝ้าระวังจับตาอาการ รวมให้ครบตรงนี้ 

จากเหตุการณ์การเกิด กาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness) ในปี 2563 ประเทศไทยพบการระบาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 การระบาดของโรคมีพื้นที่ทั้งหมด 17 จังหวัด มีจำนวนสัตว์ป่วยสะสม 610 ตัว และตายสะสม 568 ตัว

ความคืบหน้าล่าสุด กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตร รายงานความคืบหน้า การขอคืนสถานภาพปลอดโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness : AHS)ในไทย หลังจากที่ไม่มีรายงานพบกาฬโรคแอฟริกาในม้าในประเทศไทยมากว่า 2 ปีแล้วเตรียมประกาศปลอดโรคแอฟริกาในม้า ภายในปีนี้

ก่อนที่จะมี การประกาศโรคแอฟริกาในม้า อย่างเป็นทางการนั้น ชวนคอข่าว เนชั่นออนไลน์ มาอัปเดตกันสักหน่อยว่า "โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า" มีสาเหตุและอาการอย่างไร อ่านรายละเอียดกันตรงนี้

โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness)

เผยสาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัส RNA ชนิดไม่มีเปลือกหุ้ม family Reoviridae genus Orbivirus เชื้อนี้ถูกยับยั้งได้ด้วยความร้อน มากกว่า 140°F สารละลายฟอร์มาลิน  ß-propriolactone อนุพันธ์ ของ acetylethyleneimine หรือ การฉายรังสีและถูกทำลายได้ ด้วยความเป็นกรดด่างที่ pH น้อยกว่า 6 หรือมากกว่า 12 นอกจากนี้สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น 2% กรดอะซิติก หรือ กรดซิตริก ในการฆ่าเชื้อโรคได

ชวนคนไทยร่วมทำความรู้จัก "กาฬโรคแอฟริกาในม้า"

สัตว์ที่ไวต่อการเกิดโรค

ม้า ลา ล่อ ม้าลาย อูฐ และสุนัข โดยมักทำให้ม้าและล่อแสดงอาการป่วยรุนแรงและตาย ส่วนในลา และ ม้าลายจะแสดงอาการแบบไม่รุนแรง ทั้งนี้ไม่พบรายงานการติดต่อจากสัตว์สู่คน

ระบาดวิทยา

ไม่มีรายงานการเกิดโรคนี้ในประเทศไทย แต่พบรายงานการเกิดโรคในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง ประเทศอียิปต์ สเปน โปรตุเกส โมร็อกโค ปากีสถาน และอินเดีย

ระยะฟักตัวของโรค 

ประมาณ 2-21 วัน

รู้จัก รู้ทันอาการ

1.สัตว์ที่ติดเชื้อโรคกาฬโรคแอฟริกา จะแสดงอาการได้ 4 รูปแบบ คือ 1. แบบเฉียบพลันรุนแรง (peracute หรือ pulmonary form) สัตว์จะมีไข้สูง และแสดงอาการ ทางระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง รูจมูกขยาย ยืดคอไปข้างหน้า หายใจลำบาก ไอ มีน้ำมูก เป็นฟองสีเหลืองขุ่น (frothy serofibrinous) สัตว์จะตายภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากแสดงอาการ

2.แบบกึ่งเฉียบพลัน (subacute edematous หรือ cardiac form) สัตว์จะมีไข้สูงประมาณ 3-6 วัน หลังจากนั้นไข้จะลดลง และ มีอาการบวมน้ำบริเวณขมับ (supraorbital fossae) เปลือก ตา แก้ม ริมฝีปาก ลิ้น บริเวณขากรรไกร คอ ไหล่ และ หน้าอก แต่ไม่พบการบวมน้ำที่ส่วนล่าง ของลา ตัว เช่น ขา นอกจากนี้จะมีอาการซึม เสียดท้อง มีจุดเลือดออกบริเวณลิ้น และ เยื่อบุตา สัตว์จะตายจากภาวะหัวใจล้มเหลว หากสัตว์หายป่วย อาการบวมน้ำจะลดลงใน 3-8 วัน

3. แบบเฉียบพลัน (acute หรือ mixed form) สัตว์จะแสดงอาการทั้งทางระบบทางเดินหายใจ และมีภาวะบวมน้ำ

 4. แบบไม่รุนแรง (horsesickness fever) สัตว์จะมีไข้ประมาณ 3-8 วัน โดยไข้จะลดในตอนเช้า และมีไข้สูงในตอนบ่าย อาการอื่นๆที่อาจพบได้ คือ ซึม เบื่ออาหาร บวมน้ำบริเวณขมับ เยื่อเมือก มีจุดเลือดออก และหัวใจเต้นเร็ว สัตว์ที่ป่วยแบบไม่รุนแรงมักหายจากอาการป่วยได้

ชวนคนไทยร่วมทำความรู้จัก "กาฬโรคแอฟริกาในม้า"

การควบคุมและป้องกันโรค

1. ควรตรวจสุขภาพสัตว์เป็นประจำ หากพบสัตว์ป่วยต้องแยกออกจากฝูง เพื่อป้องกันการเกิดโรค

 2. กำจัดแมลงดูดเลือดที่เป็นพาหะของโรค หรือ ป้องกันไม่ให้แมลงดูดเลือดสามารถดูดเลือดสัตว์ได้ โดยการให้ม้าอยู่ในคอกที่ใช้มุ้ง หรือ ตาข่ายในการป้องกันแมลงดูดเลือด โดยเฉพาะในเวลาที่แมลง ดังกล่าวออกหากิน เช่น ช่วงเวลาพลบค่ำถึงเช้ามืด หรือ ใช้ยาฆ่าแมลงที่เหมาะสมพ่นบริเวณคอก และ ตัวม้า

3. กรณีที่มีการระบาดของโรค ต้องมีการควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์เข้า-ออกบริเวณที่เกิดโรค

4. กรณีที่นำสัตว์ใหม่เข้าฝูง ควรกักไว้อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อตรวจร่างกายและสังเกตอาการป่วย

 5. ทำความสะอาดคอก บริเวณที่เลี้ยงสัตว์ และอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค


ย้อนไมปเมื่อ 20 ตุลาคม 2565 ทาง กรมปศุสัตว์ ออกมายืนยัน ประเทศไทย ไม่พบกาฬโรคแอฟริกาในม้ามากกว่า 2 ปี พร้อมยื่นขอคืนสถานภาพปลอดกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness Free Status) จากองค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) หนุนจัดแข่งขันระดับนานาชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยว

นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า  จากเหตุการณ์การเกิดกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness) ในปี 2563 ประเทศไทยพบการระบาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 การระบาดของโรคมีพื้นที่ทั้งหมด 17 จังหวัด มีจำนวนสัตว์ป่วยสะสม 610 ตัว และตายสะสม 568 ตัว กรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายดำเนินการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้พบโรคครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีรายงานพบกาฬโรคแอฟริกาในม้ามากกว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้เป็นการดำเนินงานในระยะที่ 3 ระยะขอคืนสถานภาพปลอดโรคตามแผนปฏิบัติการกำจัดกาฬโรคแอฟริกาในม้าเพื่อคืนสถานภาพปลอดโรคจากองค์การสุขภาพสัตว์โลกของประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการให้ได้สถานภาพปลอดโรคภายในปี พ.ศ. 2566


จากสถานการณ์ของโรคที่ดีขึ้นมาก กรมปศุสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย และทุกหน่วยงานภาคีภายใต้บันทึกความร่วมมือ (MOU)     การกำจัดกาฬโรคแอฟริกาในม้าของประเทศไทย ได้เตรียมพร้อมด้านข้อมูลสำหรับขอรับรองการปลอดโรคจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก ประกอบกับได้เชิญ Dr.Ann-Susanne Munstermann ที่ปรึกษาจากองค์การสุขภาพสัตว์โลกมาเยือนประเทศไทยเพื่อให้คำแนะนำการเขียนแฟ้มประวัติหรือแฟ้มข้อมูล (Dossier) เพื่อขอรับรองการปลอดโรค ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมสูงมากที่จะยื่นขอคืนสถานภาพปลอดโรคได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาจากองค์การสุขภาพสัตว์โลกยังได้เดินทางไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติโดยมีประชุมหารือร่วมกับคณะทำงานด้านไวรัสวิทยา คณะทำงานด้านการเฝ้าระวังโรคในแมลงพาหะ และคณะทำงานเขียนแฟ้มข้อมูล (Dossier) นอกจากนี้ ยังมีกำหนดการเดินทางไปยังพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีและชลบุรีเพื่อติดตามการดำเนินกิจกรรมการเฝ้าระวังโรคในกลุ่มสัตว์เฉพาะ (sentinel surveillance) ของสวนสัตว์อีกด้วย


นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์  โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมปศุสัตว์  กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างเร่งรัดเพื่อทำให้ประเทศไทยกลับสู่สถานภาพปลอดกาฬโรคแอฟริกาในม้า ซึ่งการปลอดโรคดังกล่าว จะทำให้สามารถเคลื่อนย้ายม้าระหว่างประเทศได้ตามปรกติ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการค้าและการส่งออกม้าเพิ่มรายได้ต่ออุตสาหกรรมการส่งออกม้า ส่งเสริมกิจกรรมการแข่งขันม้าในประเทศทุกประเภททั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สร้างอาชีพและรายได้ให้กับบุคลากรทุกภาคส่วน อาทิ เกษตรกรผู้เลี้ยงม้า ผู้ประกอบการ สมาคม ชมรม แรงงาน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและเศรฐกิจโดยรวมต่อไป

ขอขอบคุณที่มา: กรมปศุสัตว์