
สถานการณ์สู้รบระหว่างกัมพูชากับไทย เดินมาถึงจุดตึงเครียดที่สุด และเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะลดระดับลง
เสนาธิการทหารบกของไทย พลเอก ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ ประเมินว่า
ก่อนปีใหม่ ปฏิบัติการทางทหารของไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เกือบ 100% และไทยจะสามารถทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพภัยคุกคามได้ตามที่ประกาศ
จังหวะเวลา “ก่อนปีใหม่” สอดรับกับเวทีการประชุมสมัยพิเศษของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน วันที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการหยิบยกปัญหาขัดแย้งไทยกับกัมพูชา ถึงขั้นเป็นการ “ขัดกันด้วยอาวุธ” ขึ้นมาหารือเพื่อหาทางออก
มีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงการทูตและการต่างประเทศ จับตาบทบาทของจีน ที่ขยับอย่างชัดเจนในเรื่อง “ปราบสแกมเมอร์” โดยไล่กดดันจากเมียนมา และต่อเนื่องถึงกัมพูชา
โดยการส่ง “มือปราบแก๊งหลอกลวงออนไลน์” หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเพิ่งโชว์ผลงานทลายเมืองสแกมเมอร์ “ชเวโก๊กโก” รับตัว “เสอ จื้อเจียง” ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจากไทย กลับไปรับโทษที่มาตุภูมิ รวมถึงทลายอิทธิพลของกลุ่ม “หม่อง ชิตตู่ “ กะเหรี่ยงเทา เจ้าพ่อเมียวดี ในช่วงก่อนหน้า
จีนขยับแรงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากพลาดท่า ตกขบวนสันติภาพ “ไทย-กัมพูชา” เมื่อครั้งทำ “ปฏิญญาสันติภาพ” ที่กัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 26 ตุลาคม โดยมี ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนเป็นสักขีพยาน ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ กลายเป็นพระเอก และมีแนวโน้มจะขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ขณะที่กัมพูชาก็เล่นบท “เด็กดี” ของอเมริกา และทรัมป์
แต่หลังเกิดการสู้รบรอบใหม่ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา และสถานการณ์บานปลาย ตอนแรกจีนวางเฉย ขณะที่สหรัฐฯก็รอให้สถานการณ์สุกงอม แต่แล้วจู่ๆ ก็มียุทโธปกรณ์ทันสมัยผลิตจากจีน รุ่นล่าสุดเมื่อต้นปีที่แล้ว อยู่ในสมรภูมิที่กัมพูชาเคยยึดครอง
งานนี้ทำให้จีนอยู่เฉยไม่ได้ และเปิดปฏิบัติการแก้เกม โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นช่องทางในการเคลื่อนตัว
โดยจีนส่ง หลิว จงอี้ ร่วมประชุมว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ แม้จะมีผู้แทนถึง 58 ประเทศเข้าร่วม แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่ส่งระดับรัฐมนตรี หรือเทียบเท่า มาประชุม และหนึ่งในนั้นคือจีน มหาอำนาจโลก
แหล่งข่าวในแวดวงนักการทูต วิเคราะห์ว่า จีนมาแบบเหนือเมฆ ถูกเวลา สร้างผลงานแซงหน้าทรัมป์ หลังจากเสียเหลี่ยมไป เมื่อครั้งทำปฏิญญาสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์
จีนขยับรอบนี้ ใช้ประเด็นสแกมเมอร์นำหน้า ทำให้มีอิทธิพลเหนือทั้งไทยและกัมพูชา โดยในส่วนของไทย เพิ่งมีการสานสัมพันธ์ทางการทูตครั้งสำคัญ และจีนช่วยซื้อข้าวไทยถึง 5 แสนตัน ส่งผลให้ดุลอำนาจและความสัมพันธ์ในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงทันที
แหล่งข่าวคนเดียวกัน วิเคราะห์ต่อว่า ฝ่ายการเมืองของไทยกำลังหาทางลงจากสถานการณ์การสู้รบ เพราะปฏิบัติการทางทหารไม่ง่ายอย่างที่คิด กัมพูชามีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี และต่อสู้กับไทยได้เหนือความคาดหมาย
ฉะนั้นหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป ฝ่ายที่ต้องเผชิญแรงกดดันคือ ฝ่ายไทยเอง เพราะมีศักยภาพเหนือกว่ากัมพูชาทุกด้าน ทั้งกำลังรบ ยุทโธปกรณ์ งบประมาณ ขนาดของประเทศ และขนาดเศรษฐกิจ
การแสดงบทบาทของจีน จึงช่วยหาทางลงให้ไทยด้วย แต่สิ่งที่จีนได้ตอบแทน คือการช่วยล้างภาพลบเรื่องอาวุธทันสมัย ซึ่งกัมพูชามีในครอบครอง โดยจะสังเกตเห็นว่า “ระดับคีย์แมนของไทย” ไม่มีใครยืนยันข้อมูลอาวุธที่พบบนเนิน 500 โดยกล่าวหาจีนตรงๆ เลย หนำซ้ำบางคนยังแก้ตัวแทน เช่น คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ หรือแม้แต่ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ที่ให้สัมภาษณ์ข่าวข้นคนข่าวเมื่อคืน ว่า อาวุธที่พบไม่ได้ทันสมัยตามที่เป็นข่าว เพราะภาพที่สื่อออกไป มีความคลาดเคลื่อน
นอกจากนั้นหากตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์ระยะหลังของนายกฯอนุทิน จะพบว่า มีความเกรงอกเกรงใจจีนเป็นพิเศษ แต่แสดงท่าทีแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวอีกด้าน สหรัฐฯกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน กล่าวหาจีนว่าสนับสนุนยุทโธปกรณ์ให้กัมพูชา โดยอ้างภาพถ่ายจากดาวเทียม และความเคลื่อนไหวทางทะเล ส่งผลให้กองทัพเรือไทย และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ออกมาตรการควบคุมการเดินเรือในอ่าวไทย และจำกัดการส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากัมพูชา มาตรการนี้ส่งผลกดดันการเคลื่อนไหวของมหาอำนาจบางปีกไปด้วย และหากยืดเยื้อต่อไป การปิดอ่าวไทยทางอ้อม ย่อมไม่เป็นผลดีกับจีน เพราะเท่ากับเป็นการปิดล้อมจีนในทางหนึ่ง
และหากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ เชื่อว่าราวๆ ต้นเดือนมกราคมปีหน้า เมื่อสถานการณ์การสู้รบสุกงอมเต็มที่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ จะกลับมาเล่นบทพระเอกอีกครั้ง เพื่อจบปัญหาไทย-กัมพูชา แล้วส่งผลงานชิงรางวัลโนเบลสันติภาพทันที ซึ่งแน่นอนว่าจีนยอมไม่ได้
แหล่งข่าวจากแวดวงการทูต สรุปว่า การแสดงบทบาทของจีน ถือว่าถูกที่ถูกเวลา เพราะ
- ฝ่ายการเมืองของไทยกำลังหาทางลง หา exit strategy จากสงคราม เพราะหากปล่อยยืดเยื้อเกินไปย่อมไม่ดี และเสี่ยงกระแสตีกลับ
- กัมพูชากำลังเข้าสู่ภาวะ “หมดสายป่าน” กระสุนเริ่มขาดแคลน การสนับสนุนจากภายนอกเริ่มตีบตัน เพราะไทยใช้มาตรการเข้มคุมอ่าวไทย
- จีนได้โอกาสเข้ามาแสดงบทบาทในภูมิภาค โดยเฉพาะสองประเทศยุทธศาสตร์ที่เชื่อมทั้งทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา
- จีนยังได้เคลียร์ตัวเองเรื่องส่งอาวุธให้กัมพูชา ว่าไม่เป็นความจริง และยังได้หาทางออกเรื่องการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ท ในเขตอิทธิพลของว้า ในรัฐฉาน เมียนมา แล้วมีการรั่วไหลของสารพิษ ส่งผลกระทบลามถึงแหล่งน้ำในประเทศไทย ฉะนั้นเมื่อจีนหาบันไดลงให้ไทยเรื่องกัมพูชา ก็อาจต้องยอมแลกกับการวางเฉยต่อปัญหาการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ ในเมียนมา และแก้ปัญหาไปเองตามมีตามเกิด
ผ่าน 11 วัน กับสัญญาณ “หยุดยิง”
// ความเคลื่อนไหวที่ 1 //
- หารือ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น
- ญี่ปุ่นห่วงใยสถานการณ์ อยากให้จบ เพราะกระทบการลงทุนทั้งในกัมพูชาและไทย
- แจ้งญี่ปุ่น หากจะหยุดยิง กัมพูชาต้องริเริ่ม + 3 เงื่อนไขที่ไทยเสนอ (ริเริ่ม จริงใจ ต่อเนื่อง-ระยะยาว)
// ความเคลื่อนไหวที่ 2 //
- ผู้แทนระดับสูงด้านการต่างประเทศของ “อียู” โทรศัพท์แจ้ง “กัมพูชาพร้อมหยุดยิงไม่มีเงื่อนไข”
- ไทยออกตัว “เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ทำไมกัมพูชาไม่แจ้งไทย ทำเหมือนไทยเป็นอุปสรรค”
- ฝากอียูแจ้งกัมพูชา เสนอมาก่อนและต้องจริงใจ
// ความเคลื่อนไหวที่ 3 //
- หวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน โทรหา เตรียมส่ง “ผู้แทนพิเศษ” พบหารือทั้งไทยและกัมพูชา
- ไทยแจ้งกลับ ไม่เคยปฏิเสธหยุดยิง แต่กัมพูชาต้องเสนอมา และแสดงความจริงใจ
- ปฏิเสธส่งอาวุธให้กัมพูชาหลังเกิดความขัดแย้ง/สู้รบ เป็นอาวุธตามความร่วมมือปกติ
ไทย VS กัมพูชา สถานการณ์ล่าสุด!
// กัมพูชา //
- ส่งโดรนป่วนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลอ่าวไทย
- รบต้านทานการบุกของทหารไทยที่เนิน 350
**ใช้ BM-21 + ปืนใหญ่ยิงปูพรม แล้วส่งโดรนสังหาร FPV โจมตีซ้ำอย่างสอดประสาน
- มีความพยายามใช้อาวุธยาวยิงใส่เนิน 745 ช่องบก
- มีความพยายามใช้โดรนสังหารพุ่งชนสถานที่สำคัญทางความมั่นคงของไทย
// ไทย //
- สถาปนาความมั่นคงแข็งแรงทุกจุดยุทธศาสตร์ที่ยึดได้
- รุกคืบขึ้นเนิน 350 เหนือปราสาทตาควาย
- โจมตี BM-21 คลังเก็บจรวด และแหล่งซ่องสุมอาวุธ/ทหารในพื้นที่ปอยเปต
- ระดม 3 เหล่าทัพ “ทอ.หน่วยหลัก” บูรณาการสกัดโดรนกัมพูชา
- เฝ้าระวังการปล่อยโดรนจากเรือในทะเล + สกัดโดรนป่วนแท่นขุดเจาะน้ำมัน