svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

"กฎอัยการศึก"และ "การบริหารราชการชายแดนใต้" ถึงเวลาทบทวนแล้วหรือยัง

พรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค มีท่าทีจะปรับนโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบชายแดนใต้ โดยเฉพาะการทบทวนประกาศใช้"กฎอัยการศึก" ที่มีการบังคับใช้มาหลายช่วงอายุปี และโดยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ถึงเวลาทบทวนหรือยัง

เมื่อพิจารณาจากนโยบายหาเสียงเกี่ยวการแก้ปัญหาความไม่สงบชายแดนใต้ ของพรรคการเมืองที่กำลังร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค  มีประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนให้การสนับสนุน นั่นคือ "การทบทวนประกาศใช้กฎอัยการศึก"

การทบทวนดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญที่เขียนว่า

“รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้า เพื่อไม่เป็นภาระแก่ประชาชน ...”

ก่อนอื่นขอทำความรู้จักกับบางมาตราของ พ.ร.บ. กฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 ดังนี้

มาตรา 4 เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ณ แห่งใด ให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใด ๆ ของทหารมีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก เฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้นได้ แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด

มาตรา 5 การที่จะเลิกใช้กฎอัยการศึกแห่งใดนั้น จะเป็นไปได้ต่อมีประกาศกระแส พระบรมราชโองการเสมอ

มาตรา 6 ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร อำนาจศาลทหาร และอำนาจศาลพลเรือน …

แฟ้มภาพ   เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง กับการดูแลสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนใต้ มาตรา 8 เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในตำบลใด, เมืองใด, มณฑลใด, เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้น, ที่จะเกณฑ์, ที่จะห้าม, ที่จะยึด, ที่จะเข้าอาศัย, ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่, และที่จะขับไล่ …

 

มาตรา 15 ทวิ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดจะเป็นราชศัตรูหรือได้ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ หรือต่อคำสั่งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจกักตัวบุคคลนั้นไว้เพื่อการสอบถามหรือตามความจำเป็นของทางราชการทหารได้ แต่ต้องกักไว้ไม่เกินกว่า 7 วัน

ร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้

สังเกตว่ากฎหมายนี้ประกาศใช้ในรัชสมัยของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิบปี สมัยนั้นการสื่อสารคมนาคมยังไม่สะดวก จึงให้อำนาจแก่นายทหารที่คุมกำลังระดับกองพันเป็นผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตอำนาจหน้าที่ของตน แต่เมื่อประกาศแล้ว ต้องยกเลิกโดยพระบรมราชโองการ ซึ่งในปัจจุบันคงต้องเป็นมติคณะรัฐมนตรีจึงจะยกเลิกได้

กฎหมายนี้เขียนเจตนารมณ์ไว้ให้ใช้ "เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น” และให้อำนาจแก่ทหารมากมาย รวมทั้งการควบคุมตัวโดยไม่ต้องตั้งข้อหาเป็นเวลาไม่เกิน 7 วัน และผู้เสียหายจากการใช้กฎอัยการศึกจะเรียกร้องค่าเสียหายจากทหารไม่ได้

แฟ้มภาพ เหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนใต้

ต่างประเทศบางประเทศมีกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก แต่บางประเทศก็ไม่มี แต่ผู้มีอำนาจก็ยังประกาศกฎอัยการศึกในบางครั้ง เพื่อให้อำนาจแก่ตนในยามศึกสงครามหรือในยามแย่งชิงอำนาจกันเอง จึงมีคำกล่าวแบบแทงใจดำของลอร์ด เฮล ในปี ค.ศ. 1628 ว่า “กฎอัยการศึกไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นบางอย่างที่ต้องทนเอาเหมือนเป็นกฎหมาย"

จากการสืบค้นในวิกิพีเดียพบว่า ประเทศไทยได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก จำนวน 14 ครั้ง ดังนี้

ครั้งที่ 1 ในสมัยพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดทหารบกกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2476 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์กบฏบวรเดช

ครั้งที่ 2 ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ ๒๔ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์เลย ชัยภูมิ อุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น นครพนม ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สกลนคร นครราชสีมา อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามอินโดจีนซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2484

ครั้งที่ 3 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามเอเชียบูรพาในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

ครั้งที่ 4 ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2494 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี

ครั้งที่ 5 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ครั้งที่ 6 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501อันเนื่องมาจากเหตุการณ์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารรัฐบาลพลโท ถนอม กิตติขจร

ตัวอย่าง ประกาศกฎอัยการศึก ยุคอดีต

ครั้งที่ 7 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 อันเนื่องมาจากจอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง

ครั้งที่ 8 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเนื่องมาจากพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ทำการรัฐประหารรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช

ครั้งที่ 9 ประกาศใช้กฎอัยการศึกต่อไป เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ทำการรัฐประหารรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร

ครั้งที่ 10 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อันเนื่องมาจากพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

"กฎอัยการศึก"และ "การบริหารราชการชายแดนใต้" ถึงเวลาทบทวนแล้วหรือยัง

ครั้งที่ 11 ประกาศกองทัพภาคที่ 4 ให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาส เฉพาะอำเภอบาเจาะ อำเภอรือเสาะ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี อำเภอยี่งอ และอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดปัตตานี เฉพาะอำเภอกะพ้อ และจังหวัดยะลา เฉพาะอำเภอรามัน เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2547

ครั้งที่ 12 ประกาศกองทัพภาคที่ 4 ให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส อำเภอเมือง อำเภอควนโดน อำเภอลละงู อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล อำเภอเมือง อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอยะรัง อำเภอแม่ลาน อำเภอสายบุรี อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอไม้แก่น และอำเภอปะนาแระ จังหวัดปัตตานี อำเภอเมือง และกิ่งอำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2547

"กฎอัยการศึก"และ "การบริหารราชการชายแดนใต้" ถึงเวลาทบทวนแล้วหรือยัง

ครั้งที่ 13 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 อันเนื่องมาจากพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ทำการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

ครั้งที่ 14 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อันเนื่องมาจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

จากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ตพบว่า ในปัจจุบัน ยังคงมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกตามบริเวณชายแดน รวมแล้ว 31 จังหวัด 179 อำเภอ ดังนี้

เชียงราย - 9 อำเภอ: เชียงของ เทิง แม่จัน เชียงแสน แม่สาย พญาเมิงราย เวียงแก่น แม่ฟ้าหลวง

เชียงใหม่ - 6 อำเภอ: เชียงดาว ฝาง แม่อาย เวียงแหง ไชยปราการ อมก๋อย

แม่ฮ่องสอน - 7 อำเภอ: เมือง แม่สะเรียง ขุนยวม ปาย แม่ลาน้อย สบเมย ปางมะผ้า

พะเยา - 2 อำเภอ: เชียงคำ ภูซาง

นาน - 8 อำเภอ: แม่จริม นาน้อย ปัว เวียงสา ทุ่งช้าง สันติสุข บ่อเกลือ เฉลิมพระเกียรติ

อุตรดิตถ์ - 3 อำเภอ: น้ำปาด บ้านโคก ฟากท่า

ตาก - 6 อำเภอ: แม่สอด แม่ระมาด ท่าสองยาง อุ้มผาง พบพระ วังเจ้า

พิษณุโลก - 2 อำเภอ: นครไทย ชาติตระการ
เลย - 6 อำเภอ: ปากชม เชียงคาน ท่าลี่ ภูเรือ ด่านซ้าย นาแห้ว

หนองคาย - 10 อำเภอ: เมือง บึงกาฬ โพนพิสัย ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ สังคม ปากคาด บึงโขงหลง บุ่งคล้า รัตนวาปี

นครพนม - 4 อำเภอ: เมือง ธาตุพนม ท่าอุเทน บ้านแพง

มุกดาหาร - 4 อำเภอ: เมือง ดอนตาล ดงหลวง หว้านใหญ่

อำนาจเจริญ - 2 อำเภอ: ชานุมาน ปทุมราชวงศา

อุบลราชธานี - 10 อำเภอ: พิบูลมังสาหาร เขมราฐ น้ำยืน บุณฑริกก ศรีเมืองใหม่ นาจะหลวย โขงเจียม โพธิ์ไทร สิรินธร น้ำขุ่น

ศรีสะเกษ - 5 อำเภอ: กันทรลักษ์ ขุขันธ์ ขุนหาญ ภูสิงห์ เบญจลักษ์

สุรินทร์ - 4 อำเภอ: สังขะ บัวเชด กาบเชิง ศรีณรงค์

บุรีรัมย์ - 5 อำเภอ: บ้านกรวด ละหานทราย ปะคำ พนมดงรัก โดนดินแดง

สระแก้ว - 7 อำเภอ: วัฒนานคร อรัญประเทศ ตาพระยา วันน้ำเย็น คลองหาด โคกโสง วังสมบูรณ์

จันทบุรี - 3 อำเภอ: ขลุง โป่งน้ำร้อน สอยดาว

ตราด - 6 อำเภอ: เมือง แหลมงอบ คลองใหญ่ บ่อไร่ เกาะช้าง เกาะกูด

กาญจนบุรี - 6 อำเภอ: เมือง สังขละบุรี ศรีสวัสดิ์ ทองผาภูมิ ด่านมะขามเตี้ย ไทรโยค

ราชบุรี - 1 อำเภอ: สวนผึ้ง

เพชรบุรี - 2 อำเภอ: หนองหญ้าปล้อง แก่งกระจาน

ประจวบคีรีขันธ์ - 8 อำเภอ: เมือง หัวหิน ปราณบุรี กุยบุรี ทับสะแก บางสะพาน บางสะพานน้อย สามร้อยยอด

ชุมพร - 1 อำเภอ: ท่าแซะ

ระนอง - 5 อำเภอ: เมือง กะเปอร์ กระบุรี ละอุ่น สุขสำราญ

สงขลา - 14 อำเภอ: เมือง จะนะ เทพา สะเดา สะบ้าย้อย นาทวี สทิงพระ หาดใหญ่ ระโนด รัตภูมิ สิงหนคร ควนเนียง นาหม่อม คลองหอยโข่ง กิ่งอำเภอบางกล่ำ กิ่งอำเภอกระแสสินธุ์

สตูล - 5 อำเภอ: เมือง ควนโดน ท่าแพ ละงู ทุ่งหว้า

ยะลา - 7 อำเภอ: เมือง เบตง บันนังสตา ยะหา รามัน ธารโต กาบัง

ปัตตานี - 12 อำเภอ: เมือง สายบุรี โคกโพธิ์ ยะหริ่ง ปะนาเระ มายอ หนองจิก ยะรัง ไม้แก่น ทุ่งยางแดง กะพ้อ แม่ลาน

นราธิวาส - 12 อำเภอ: เมือง ตากใบ แว้ง ยี่งอ สุไหงโก-ลก สุไหงปาดี บาเจาะ ระแงะ รือเสาะ ศรีสาคร สุคิริน จะแนะ
ถ้าข้อมูลนี้เก่าไปก็ขออภัย

คำถามคือ มีสงครามหรือการจลาจล ใน 31 จังหวัด 179 อำเภอดังกล่าวหรือไม่ ถ้าไม่มี การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าวจะขัดต่อ พ.ร.บ. กฎอัยการศึกหรือไม่ และเป็นประโยชน์ต่อใคร อย่างไร หรือไม่

ในสายตาประชาคมโลก รัฐบาลประชาธิปไตยหมายถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่รัฐมนตรีเป็นฝ่ายพลเรือนที่มีอำนาจควบคุมข้าราชการประจำ รวมทั้งฝ่ายทหาร และข้าราชการทุกคนควรอยู่ใต้บังคับของศาลพลเรือน ยกเว้นในยามศึกสงครามเท่านั้นจึงใช้ศาลพิเศษคือศาลทหาร แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทำไมจึงต้องให้มีพื้นที่จำนวนมากที่ "เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร อำนาจศาลทหาร และอำนาจศาลพลเรือน" ทั้งนี้ โดยอิงอาศัยอำนาจตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ. กฎอัยการศึก กระนั้นหรือ

คราวนี้ขอพิจารณาสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นสถานการณ์พิเศษที่มีการสู้รบด้วยอาวุธ ระหว่างฝ่ายขบวนการที่ต้องการเอกราชตามหลักการกำหนดใจตนเองผ่านการลงประชามติ (ที่ทำไม่ได้เพราะขัดต่อกฎหมาย) กับฝ่ายรัฐที่ใช้การทหารนำเพื่อปราบปรามฝ่ายแรกจนอ่อนกำลังลง การสู้รบยืดเยื้อมาสิบเก้าปีกว่า นโยบายการทหารของรัฐก็ยังไม่สามารถทำให้ได้ชัยโดยเด็ดขาด และความรุนแรงคงจะยืดเยื้อต่อไป จึงเหมาะสมแล้วที่ได้มีการพูดคุยสันติภาพ ซึ่งดำเนินมากว่าสิบปีแล้ว บัดนี้ได้ข้อยุติที่ชัดแล้วว่า ฝ่ายขบวนการฯที่เข้าร่วมการพูดคุยสันติภาพยอมรับกรอบของรัฐธรรมนูญที่เขียนว่า "ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" จึงขอร้องทุกฝ่ายว่า อย่าเอาประเด็นการแบ่งแยกดินแดนมาก่อให้เกิดความระแวงหรือการกล่าวหากันด้วยความเท็จเลย
เมื่อผมเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่ชาติ (กอส.) 

เราพูดกันว่าการประกาศกฎอัยการศึกให้ภาพพจน์ที่ไม่ดีของไทยต่อประชาคมโลก จึงควรใช้มาตรการทางกฎหมายปกติ หรือเมื่อจำเป็นก็อาจประกาศภาวะฉุกเฉิน เช่น ในพื้นที่ที่มี "การจลาจล" และเป็นกรณีที่ฝ่ายพลเรือนควบคุมไม่อยู่ จึงขอแรงฝ่ายทหารให้มาช่วยเป็นการชั่วคราวในพื้นที่นั้น ๆ เมื่อควบคุมสถานการณ์ได้ก็ยกเลิกภาวะฉุกเฉินนั้นเสีย ให้ฝ่ายพลเรือนทำหน้าที่ตามปกติ

ฝ่ายทหารก็ทำหน้าที่หลักในการป้องกันการคุกคามจากภายนอก เมื่อพูดกันเช่นนี้ เลขานุการ กอส. จึงไปช่วยเสนอร่างกฎหมายการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแก่รัฐบาล ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ใด ก็ให้ยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่นั้น อีกทั้งให้คณะรัฐมนตรีทบทวนทุก 3 เดือนว่ายังมีสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี ก็กลับมาใช้กฎหมายธรรมดาตามปกติ ไม่ใช้กฎหมายพิเศษที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในหลายประการ อีกทั้งยังช่วยข้าราชการให้มีสภาพพร้อมรับผิด (accountability) ที่จำกัดด้วย 

ผมเป็นคนหนึ่งใน"คณะกรรมการ กอส." ที่รู้สึกผิดหวัง เพราะเมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ก็ไม่มีการยกเลิกกฎอัยการศึก ฝ่ายทหารบอกว่าสะดวกกว่าที่จะมีอำนาจทั้งสองทาง

ส่วนคำว่าฉุกเฉินก็หมดความหมายตามพจนานุกรม เพราะการพิจารณาทบทวนการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯนั้น เป็นไปโดยอัตโนมัติทุก 3 เดือนตั้งแต่การประกาศใช้ในปี 2548 เป็นต้นมา ประหนึ่งว่าสถานการณ์นั้นฉุกเฉินต่อเนื่องจนเป็นประจำเสียแล้ว

"กฎอัยการศึก"และ "การบริหารราชการชายแดนใต้" ถึงเวลาทบทวนแล้วหรือยัง

ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) มีการแบ่งการบริหารราชการออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 คือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขึ้นตรงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมีแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง การรักษาความปลอดภัย สร้างสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพ และภารกิจการใช้กำลัง เช่น การปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม

ส่วนที่ 2 คือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มีเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานด้านการพัฒนา อำนวยความยุติธรรม และช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรง

"กฎอัยการศึก"และ "การบริหารราชการชายแดนใต้" ถึงเวลาทบทวนแล้วหรือยัง

เดิมทีเดียว กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กับ ศอ.บต. รับผิดชอบงานในส่วนของตน แต่ก็ประสานกันในลักษณะความร่วมมือ แต่เมื่อมีการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่เพื่อความมีเอกภาพ (ในเรื่องนี้ ขออ้างอิงเอกสาร “การปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา จชต.” ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) โดย คสช. กำหนดให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ขึ้น ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 9/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 ซึ่งแบ่งงานออกเป็น 7 กลุ่มงาน มีผู้รับผิดชอบ 3 ฝ่ายดังนี้

1.กลุ่มงานที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับผิดชอบ

2.กลุ่มงานที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับผิดชอบ 

3.กลุ่มงานที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับผิดชอบ
ในระดับพื้นที่ ยังคงรูปแบบการบริหารจัดการเป็น 2 ส่วน คือ งานความมั่นคง กับงานพัฒนา แต่ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นผู้รับผิดชอบหลักเพียงหน่วยเดียว โดยลดบทบาทศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)  ให้เป็นส่วนงานที่ขึ้นตรงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อความเป็นเอกภาพ 

แฟ้มภาพ  เจ้าหน้าที่ ติดตาม  ตรวจสอบ สถานการณ์ความไม่สงบชายแดนใต้

ต่อมามีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 57/2559 เรื่อง การปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ 14 กันยายน 2559 แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ซึ่งเรียกว่า "ครม. ส่วนหน้า" มีอำนาจหน้าที่ในการประสานงานระหว่างคณะรัฐมนตรีและราชการส่วนกลางกับหน่วยงานในพื้นที่ ประสานงานกับรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการจังหวัชายแดนภาคใต้ และประสานงานกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัด ส่วนราชการ และภาคส่วนต่าง ๆ ในการเชื่อมโยงงานให้เกิดการบูรณาการและปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการพัฒนาตลอดจนให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่มีอำนาจวินิจฉัยสั่งการ และให้รายงานปัญหา อุปสรรค ตลอดจนเสนอแนวทางการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาต่อนายกฯเป็นระยะ ๆ

สรุปก็คือ โครงสร้างการบริหารราชการใน จชต. ในระดับชาติมี 3 ฝ่ายรับผิดชอบ ในระดับพื้นที่ ให้ ศอ.บต. ขึ้นอยู่กับ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้าเพื่อความเป็นเอกภาพ และมี คปต. คอยกำกับดูแล นับเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนทีเดียว 

หากเราพิจารณาหน่วยงานด้านความมั่นคงภายในของหลายประเทศ ซึ่งอาจตรงกับคำว่า Department of Home Affairs หรือ Department of Home Security ซึ่งมีลักษณะคล้ายกระทรวงมหาดไทย แต่มีฝ่ายความมั่นคงรวมอยู่ด้วย โดยหัวหน้าเป็นฝ่ายพลเรือน นี่อาจเป็นแนวคิดเดิมในการจัดให้มี กอ.รมน. แต่พอทหารเห็นคำว่า security (ความมั่นคง) เลยบอกว่านี่เป็นเรื่องของฉัน กอ.รมน. เลยมีทหารนำ และคนส่วนใหญ่พลอยเข้าใจไปว่า กอ.รมน. คืออีกหน่วยงานหนึ่งของกองทัพ

ความพยายามของ 8 พรรคการเมือง ร่วมจัดตั้งรัฐบาล

พรรคการเมือง 8 พรรคที่กำลังเตรียมจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ มีความสนใจที่จะแก้ไขปัญหา จชต. โดยตั้งใจจะแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาความรุนแรงพร้อมไปด้วย มีการเสนอนโยบายที่สำคัญ 2 นโยบายคือ ทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษ และทบทวนโครงสร้างการบริหารจัดการ กฎหมายพิเศษหมายถึงการประกาศใช้กฎอัยการศึกและการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เลยมีคนสรุปว่า จะพาทหารกลับกรมกอง หรือจะลดกองกำลังลงโดยไม่กระทบสถานการณ์ความรุนแรง

ส่วนเรื่องการมีอยู่ของโครงสร้างการบริหาร คงหมายถึงการทำงานของหน่วยงานราชการที่ทำงานด้าน จชต. ได้แก่ กอ.รมน. ศอ.บต. และสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้ง คปต. ที่ตั้งโดยคำสั่ง คสช. โดยรัฐบาลจะต้องศึกษาและกำหนดความสัมพันธ์ของหน่วยงานเหล่านี้ เพื่อให้ร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิผล อันจะนำไปสู่สันติภาพและความยุติธรรม

การแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน จชต. เป็นงานที่ยากมาก จึงอยากให้กำลังใจแก่ทุกฝ่าย คนส่วนใหญ่ในพื้นที่นับถือศาสนาอิสลาม มีการขอพรจากพระเจ้าหรือการดุอา ผมสวดขอพรเช่นนั้นไม่เป็น เพียงขอให้ท่านมีความสงบสุขและได้รับความกรุณาจากพระเจ้า สำหรับทหารที่ส่วนหนึ่งเป็นชาวพุทธ ขออนุญาตนำอนุโมทนาคาถามาแสดงเพื่อเป็นมงคลแด่ท่านดังนี้

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน
ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน
ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแด่ท่านทุกเมื่อเทอญ