การปฏิรูประบบป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คณะกรรมาธิการติดตาม เสนอแนะและเร่งรัด วุฒิสภา(ตสร.)สนใจติดตาม
ในรอบนี้ คณะกรรมาธิการ ตสร.มีข้อสังเกตว่า การดำเนินงานตามแผนปฏิรูปไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม
• ขาดประสิทธิภาพด้านการเข้าถึงข้อมูล การแจ้งเบาะแส การเปิดเผยข้อมูลโครงการขนาดใหญ่
• ขาดการทำระบบข้อมูลให้เป็นดิจิทัล
• การผลักดันกฎหมายการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนรวมกับส่วนตัวยังไม่คืบหน้า
พร้อมกันนั้นยังมีข้อเสนอให้ปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่รับผิดชอบงานยุทธศาสตร์ด้านรณรงค์ป้องกัน โดยเสนอให้ ป.ป.ช.มาเป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก ส่วนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.) ภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจเอกชนให้เป็นหน่วยสนับสนุน รวมทั้งให้เร่งรัดโครงสร้างการทำงานของหน่วยกำกับติดตามในระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เร่งรัดการจัดทำหลักสูตรต้านทุจริตจากปฐมวัยถึงอุดมศึกษา
โดยให้มีการประเมินวัดผลอย่างจริงจังด้วย ที่สำคัญยังย้ำด้วยว่างานปราบปรามคดีทุจริตจะต้องมีความรวดเร็ว เด็ดขาด เป็นธรรมและแม่นยำ
นั่นก็คงเป็นเพราะว่า ในช่วงนี้มีข่าวอื้อฉาวเรื่องทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังคมกำลังสนใจติดตามว่าจะผลลัพธ์ในแต่ละเรื่องแต่ละคดีจะลงเอยอย่างไร เช่น คดีกลุ่มธุรกิจสีเทาชาวจีน คดีทุจริตซื้อขายตำแหน่งในกรมอุทยานฯ คดีขายสลากออนไลน์เกินราคา และกรณีจำหน่ายกัญชากันอย่างเสรีในช่วงสุญญากาศทางกฎหมาย
โดยเฉพาะคดีของอธิบดีกรมอุทยานฯ เพราะในเรื่องนี้ ยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส หรือ ITA ของกรมอุทยานฯว่าคะแนนประเมินอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม แต่ทว่าทำไมจึงมีการทุจริตแฝงอยู่ในระบบของหน่วยงานได้มากมายถึงขนาดนี้
ประเด็นความสงสัยที่ตามมาคือ เครื่องมือ ITA ว่าจะยังคงใช้ประโยชน์ในการป้องกัน-ป้องปรามทุจริตคอร์รัปชันได้ผลจริงหรือ ตรงนี้ขออนุญาตเปรียบเทียบกับงานวิชาการทางด้านการแพทย์สาธารณสุข และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีหลัก 3E
1)Efficacy ดูว่าเป็นยาหรือมาตรการที่ใช้นั้นได้ผลใช่ไหม
2)Effectiveness ดูว่าเป็นยาหรือมาตรการที่ใช้งานได้จริงไหม
3)Efficiency ดูว่ามีความคุ้มค่าไหม มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
สำหรับ ITA ผมเริ่มมีความไม่แน่ใจ ในด้าน efficacy น่าจะพอได้ผล อยู่บ้างในลักษณะทางอ้อม ในด้าน effectiveness ผมสงสัยมากว่าถ้าเป็นระบบจิตอาสา ไม่ใช้วิธีบังคับให้ทำจะมีหน่วยงานทำกันหรือไม่
อีกทั้งยุทธศาสตร์ที่เร่งขยายฐานหน่วยงานเป้าหมายการประเมิน ITAออกไปอย่างรวดเร็ว ร่วมหมื่นองค์กรอย่างที่กำลังทำอยู่ ระดับคุณภาพจะเป็นเช่นไร ส่วนสุดท้าย efficiency กังวลว่าจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน ลงทุนลงแรงกันเท่าไรและผลที่ได้จะคุ้มค่าหรือไม่
อันที่จริง เรื่องในทำนองเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับมาตรการอื่นของป.ป.ช. เช่นที่เคยออกมาบังคับให้เจ้าหน้าที่ราชการตำแหน่งน้อยใหญ่ต้องแจงบัญชีทรัพย์สินกันแบบถ้วนหน้า
คำถามที่สังคมอยากรู้คือ วิธีการดังกล่าวมันเป็นมาตรการที่จะสามารถป้องกันและแก้ปัญหาของชาติที่ดำรงอยู่ ได้จริงหรือไม่ มีหลักฐานการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือมารองรับหรือเปล่า ในขณะที่ภาระงานของเจ้าหน้าที่กลุ่มเป้าหมายนั้นเพิ่มขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบระดับชาติ อันประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบริหารจัดการ
ในฐานะผู้สนใจติดตามการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมาโดยตลอด พบว่าเรามักไปเน้นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่จุดคานงัด ทั้งที่จุดอ่อนสำคัญก็เห็นกันอยู่เต็มตาในขณะนี้แล้วว่าอยู่ที่ยุทธศาสตร์การปราบปราม
ดังนั้น สิ่งที่สังคมอยากเห็นในเวลานี้ก็คือการดำเนินงานด้านปราบปรามที่เฉียบขาด รวดเร็ว แม่นยำ และเป็นธรรม
เรื่องเหล่านี้รัฐบาลและผู้นำประเทศ ควรจะต้องแสดงบทบาทที่แข็งขัน จริงจัง โดยไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป จนกระทั่งหมดวาระไปเสียอย่างนั้น