18 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นเรื่องราวที่สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 ก.พ.68 ที่ผ่านมา ที่ตำรวจชุดปราบปราบยาเสพติด สภ.หาดใหญ่ เข้าจับกุม นายสมพร อายุ 49 ปี หรือ กุ้ง ขณะมั่วสุมเสพยาเสพติด กับกลุ่มเพื่อนภายในบ้านหลังหนึ่ง ย่านถนนสวัสดิรังสรรค์ ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
แต่เมื่อตำรวจสอบถามว่า มีญาติพี่น้องหรือไม่ เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่าถูกจับกุม นายสมพร บอกว่า ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะไม่ได้กลับบ้านที่ จ.สุราษฎร์ธานี มา 30 ปีแล้ว เพราะว่าใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในคุกตั้งแต่ปี 37 เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 65 เรียกว่าโตมาในคุกก็ว่าได้ ตำรวจจึงช่วยค้นหาญาติในทะเบียนราษฎร์จนทราบว่า ยังมีน้องชายกับพ่อที่ยังอยู่ ส่วนน้องสาวเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่อายุ 27 ปี
ทันทีที่นายสมพรรู้ว่า น้องสาวเสียชีวิต ถึงกับก้มหน้าร้องให้ ตำรวจจึงค้นหาเบอร์น้องชายชื่อปูจนเจอ และโทรวิดีโอคอล ให้พี่น้องได้เห็นหน้าและคุยกันเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่ง นายสมพร หลั่งน้ำตาร่ำไห้เมื่อน้องชายบอกว่า พ่อยังถามหาตลอดและเป็นห่วงเสมอ และนายสมพร สัญญาว่า หลังจากจบคดีที่ถูกจับก็จะกลับตัวกลับใจ และกลับบ้านไปอยู่กับพ่อที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ล่าสุดในวันนี้ (18ก.พ.68) นายสมพร หรือฉายา "กุ้งใต้ราว" ได้รับอิสระอีกครั้งหลังจากที่ถูกจับกุมคดียาเสพติด เมื่อวันที่12 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยศาลสั่งปรับ 4,000 บาท แต่ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็เลยถูกคุมตัวไปขังแทนค่าปรับ ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลาแทน
ทันทีที่ได้รับอิสระ ก็ได้เดินทางมาหาตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด หรือชุดตะวัน ที่ สภ.หาดใหญ่ เพราะว่าทางชุดตะวันบอกว่า ถ้าพ้นโทษออกมาก็ให้มาหาพี่ๆ ตำรวจชุดนี้ เพื่อช่วยพากลับบ้าน
โดยมี ด.ต.สนธยา ขุนทองปาน หรือว่า จ่าเอี้ยง ช่วยโทรไปหาพ่อ เมื่อ นายสมพร ได้ยินเสียงพ่อครั้งแรกในรอบ 30 ปี ถึงกับก้มหน้าร่ำให้โฮออกมาทันที และได้คุยกับพ่อเป็นครั้งแรกทั้งน้ำด้วยความดีใจ และบอกว่าอยากกลับบ้าน พ่อก็ถามว่าอยู่ที่ไหนและดีใจคิดถึงเสมอและจะไปรอรับ โดยทางตำรวจชุดตะวันได้ดูแลอย่างดี เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำพาไปเก็บสัมภาระส่วนตัว และจ่าเอี้ยงก็พาไปส่งที่คิวรถตู้ตลาดเกษตร หาดใหญ่ใน ซื้อตั๋วโดยสารให้และให้เงินติดกระเป๋าอีก 500 บาท
นายสมพร หถึงกับร่ำให้ก้มลงกราบจ่าเอี้ยง ที่ช่วยพากลับบ้านและสัญญาพร้อมสาบานว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีกแล้ว และยกมือไหว้เดินขึ้นรถมินิบัสหาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี โบกมือลาจ่าเอี้ยงเป็นครั้งสุดท้าย โดยโทรนัดกับพ่อให้ไปรับที่สถานีตลาดเกษตร 1 ที่บ้านดอนสุราษฎร์ธานี โดยออกเดินทางในช่วงบ่าย 3 โมง และคาดว่าจะถึงสุราษฎร์ธานีตอน 2 ทุ่ม
นายสมพร หรือ กุ้ง ได้เล่าถึงประวัติตัวเองในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมาให้ทีมข่าวฟังว่า แทบจะโตมาในคุกก็ว่าได้ เริ่มจากอายุ 19 ปี ตอนนั้นเกเรมาก ก่อเหตุลักทรัพย์ และถูกจับกุมเมื่อปี 37 เพราะก่อคดีลักทรัพย์ถึง 20 คดี ถูกศาลพิพากษาจำคุก 33 ปี 4 เดือน
ครั้งแรกติดคุกที่เรือนจำสุราษฎร์ธานี แต่อยู่ในคุกก็ทำยังแหกกฏ ก็เลยถูกส่งตัวมาอยู่ที่เรือนจำ จ.สงขลา เมื่อปี 43 แต่ว่าก็ยังประพฤติตัวไม่ดี จากนักโทษชั้นดีถูกลดชั้นมาอยู่ในกลุ่มนักโทษชั้นต่ำสุด ไม่ได้รับการลดหย่อนโทษ ด้วยความที่ร้ายสุดท้ายเมื่อปี 62 ก็ถูกย้ายไปอยู่เรือนจำกลางเขาบิน จนกระทั่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 65
ส่วนฉายา "กุ้งใต้ราว" เป็นฉายาที่ได้มาจากคุก เพราะตอนติดคุกมักจะไปรวมหัว แอบกันไปหลบมุมอยู่ใต้ราวผ้า เมื่อพ้นโทษจึงเดินทางมาอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และมีแฟนอยู่กินด้วยกันราว 3 ปี ก็ต้องเลิกรากันไป และตัวเองก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด กระทั่งเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ถูกชุดตะวันจับกุมตอนที่กำลังมีการมั่วสุมเสพยา ก็เลยโดนไปด้วย และโชคดีที่ในวันนี้ถูกตำรวจชุดตะวันจับกุม เพราะเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง จากที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสกลับบ้าน เพราะไม่รู้จะกลับไปหาใคร
แต่เมื่อตำรวจชุดตะวันได้ติดต่อจนได้คุยกับน้อง แม้ว่าน้องสาวจะไม่อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีน้องชายและพ่อที่ยังรออยู่และเป็นห่วงเสมอ จึงตัดสินใจกลับตัวกลับใจว่า ถ้าจบคดีนี้จะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อ เมื่อพ้นโทษออกมาในวันนี้ จึงตัดสินใจเดินทางมาหาตำรวจชุดตะวันทันที โดยไม่กลับไปอยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว และหากมีโอกาสชีวิตเข้าที่เข้าทางก็จะกลับมาหาดใหญ่ เพื่อเยี่ยมตำรวจชุดตะวันอีกครั้งเพื่อขอบคุณ ที่ได้มอบโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับตน