
3 ตุลาคม 2567 เมื่อเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์อุทกวิทยาชลประทาน ภาคเหนือตอนบน ทำการขึ้น "ธงแดง" เพื่อเตรียมระวังระดับน้ำปิงล้นตลิ่ง หลังระดับน้ำปิงที่จุด P.1 เกินระดับเตือนภัย อยู่ที่ 3.73 เมตรแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ระดับน้ำในแม่น้ำปิงที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ บริเวณจุดตรวจ P 1 เชิงสะพานนวรัฐ ได้เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ระดับน้ำในแม่น้ำปิงได้เพิ่มสูงขึ้นเกินจุดวิกฤติ 3 เมตร 70 เซนติเมตรแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องชั่วโมงละ 10 เซติเมตร เพราะมีมวลน้ำจากอำเภอเชียงดาว และลำน้ำสาขาในอำเภอแม่แตง และอำเภอแม่ริม ไหลลงมาสมทบ
ล่าสุดทางสำนักชลประทานที่ 1 ได้ขึ้นธงแดงเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโซนที่ 1 และโซนที่ 2 ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ขนย้ายทรัพย์สิน สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน รวมทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไปไว้บนพื้นที่สูง แม้ว่าทางเทศบาลนครเชียงใหม่จะมีการเสริมแนวตลิ่งรองรับระดับไว้ถึง 4 เมตร 20 เซนติเมตรก็ตาม แต่การเกิดน้ำปิงล้นตลิ่งเมื่อครั้งแรกเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น น้ำเริ่มทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนตั้งแต่ระดับน้ำในแม่น้ำปิงสูงประมาณ 4 เมตรเท่านั้น ทำให้ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีประชาชนชาวเชียงใหม่ทยอยเดินทางมาติดตามระดับน้ำปิงบริเวณจุดตรวจวัด P1 กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็วิตกกังวลว่าจะเกิดน้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมเป็นรอบที่ 2 และบางส่วนก็ได้มีการขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงรอไว้แล้ว
ขณะที่ผู้ประกอบการร้านค้า โรงเรียน และบ้านเรือนประชาชนที่ตั้งอยู่บนถนนสายเชียงใหม่ – ลำพูน ซึ่งติดกับแม่น้ำปิง ก็ได้วางกระสอบทรายป้องกันหน้าร้านค้าและบ้านพักของตนเอง เพื่อเตรียมป้องกันน้ำไหลทะลักเข้าท่วมรอบที่ 2 เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำอีก
ล่าสุดระดับน้ำในแม่น้ำปิงเมื่อเวลา 11.00 น. อยู่ที่ 3 เมตร 91 เซนติเมตร เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นชั่วโมงละ 10 เซนติเมตร
ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. รายงานมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ตาก พิษณุโลก สุโขทัย เลย อุดรธานี ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา รวม 43 อำเภอ 224 ตำบล 1,226 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 28,832 ครัวเรือน ส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย ระบายน้ำออกจากพื้นที่ พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงเร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายให้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในระหว่างวันที่ 16 ส.ค. – 3 ต.ค. 67 เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 37 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี หนองคาย นครพนม ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี ปราจีนบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา นครศรีธรรมราช พังงา ตรัง และสตูล รวมพื้นที่ได้รับผลกระทบ 226 อำเภอ 984 ตำบล 5,318 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 193,307 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตรวม 49 ราย และได้รับบาดเจ็บรวม 28 คน
ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ตาก พิษณุโลก สุโขทัย เลย อุดรธานี ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา รวมพื้นที่ได้รับผลกระทบ 43 อำเภอ 224 ตำบล 1,226 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 28,832 ครัวเรือน รายละเอียด ดังนี้
ภาคเหนือ รวม 7 จังหวัด 18 อำเภอ 71 ตำบล 351 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,674 ครัวเรือน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 5 จังหวัด 16 อำเภอ 62 ตำบล 377 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,264 ครัวเรือน
ภาคกลาง รวม 2 จังหวัด 9 อำเภอ 91 ตำบล 498 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 17,894 ครัวเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล เครื่องสูบน้ำ รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้าส่องสว่างขนาด 200 KVA รถบรรทุกเล็ก รถลากเรือเคลื่อนที่เร็ว เรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ เข้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ภัย
รวมถึงนำรถขุดตักไฮดรอลิคยกสูง รถตักล้อยางเอนกประสงค์ รถขุดล้อยางกู้ภัยปรับฐานล้อ รถตีนตะขาบ รถบรรทุกเทท้าย รถขุดตักไฮดรอลิคแขนยาว เร่งขุดตักขนย้ายดินโคลน เศษวัสดุ สิ่งปรักหักพัง พร้อมทั้งปรับเกลี่ยถนน เส้นทางสัญจร ฟื้นฟูถนนหนทาง อาคารบ้านเรือนในพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รายงานเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง และปักหลักช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยประชาชนสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์ ข่าวสารสาธารณภัย ได้ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM และ X @DDPMNews
ติดตามการประกาศแจ้งเตือนภัยได้ทางแอปพลิเคชัน “Thai Disaster Alert” ทั้งระบบ IOS และ Android และหากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง