svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ภูมิภาค

สาวร้อง 'ปวีณา' รพ.สลับผลตรวจ หมอเจาะน้ำคร่ำผิดคน จนต้องเสียลูก

24 ตุลาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สาวร้อง 'ปวีณา' รพ.สังกัด กทม. สลับผลตรวจเลือด หมอเรียกเจาะน้ำคร่ำวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์แม่ผิดคน ซ้ำร้ายเกิดถุงน้ำคร่ำรั่ว จนต้องเสียลูกไป

วันที่ 24 ตุลาคม 2566 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรี นางสาวพิมพ์ชนิตว์ เลิศทวีวัฒนา อายุ 32 ปี เดินเข้าพบนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิฯ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากได้ไปฝากครรภ์แล้วปรากฏว่ามีการสลับผลตรวจเลือด แพทย์จึงเจาะน้ำคร่ำตรวจวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์แม่ผิดคน ซึ่งเอกสารผลเลือดที่มีความเสี่ยงนั้น เป็นชื่อผู้หญิงอีกคน  โชคร้ายซ้ำสองหลังจากเจาะน้ำคร่ำเกิดภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วต่อมาเด็กเสียชีวิต ต้องยุติการตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่ผลตรวจเลือดเป็นปกติ โรงพยาบาลทำงานผิดพลาด เป็นเหตุให้ต้องเสียลูก ครอบครัวต้องการให้ รพ.รับผิดชอบ จึงมาขอความช่วยเหลือมูลนิธิปวีณาฯ ให้ช่วยตรวจสอบ และไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก 

นางสาวพิมพ์ชนิตว์ กล่าวอีกว่า ตนเป็นพนักงานบัญชีอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ขณะที่สามีก็เป็นพนักงานด้านไอทีบริษัทเดียวกัน แต่งงานอยู่กินกันมาหลายปี มีลูกสาวคนโตวัย 1 ขวบ 5 เดือน ตนกับสามีตั้งใจจะมีลูกน้อยด้วยกัน 2 คน เป็นครอบครัวที่อบอุ่น กระทั่งช่วงเดือน ส.ค.2566 ที่ผ่านมา ตนได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 สมใจ และวันที่ 16 ส.ค.2566 ได้ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล พบว่าลูกในครรภ์มีอายุประมาณ 10 สัปดาห์ จากนั้นวันที่ 21 ก.ย.2566 แพทย์นัดไปพบเพื่อเจาะเลือด วันที่ 28 ก.ย.2566 ทราบผลเลือดว่าเด็กในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นดาวน์ซินโดรม แพทย์จึงได้นัดวันที่ 3 ต.ค.2566 เพื่อเจาะน้ำคร่ำมาตรวจโครโมโซม วินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์

สาวร้อง \'ปวีณา\' รพ.สลับผลตรวจ หมอเจาะน้ำคร่ำผิดคน จนต้องเสียลูก ตอนนั้นตนเองก็สงสัยว่าตนอายุเพียง 32 ปี และท้องคลอดลูกคนแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกทั้ง เกรงว่าการเจาะน้ำคร่ำอาจจะมีความเสี่ยงต่อลูกในครรภ์ วันที่ 29 ก.ย.2566 จึงเลือกที่จะไปตรวจ NIPS (Non Invasive Prenatal Screening) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมของลูกในครรภ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อแม่และลูก โดยแพทย์จะเจาะเลือดของแม่ไปตรวจในห้องแลป และพ่อแม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายเอง โดยจะทราบผลในวันที่ 6 ต.ค.2566 ระหว่างที่รอผลตรวจ NIPS วันที่ 3 ต.ค.2566 ตนก็ได้ไปที่โรงพยาบาลตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้มาพบแพทย์เจาะน้ำคร่ำ เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้บัตรคิวแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็กรอพบแพทย์ เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่ก็เรียกตามหมายเลขบัตรคิวที่ถือ แต่ไม่ได้เรียกชื่อ-นามสกุล แต่อย่างใด เมื่อพบแพทย์ตนก็บอกว่าได้ไปตรวจ NIPS มาแล้ว แต่ยังต้องรอผลในวันที่ 6 ต.ค.2566 จะมาขอเลื่อนนัดเจาะน้ำคร่ำออกไปก่อน แต่แพทย์ได้อ่านผลตรวจเลือดบอกว่าทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูง ควรจะรีบเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซ หากช้ากว่านี้จะไม่เป็นผลดี ตนจึงต้องยอมให้แพทย์เจาะตรวจน้ำคร่ำในวันนั้น หลังตรวจเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน 

กระทั่ง วันที่ 4 ต.ค.2566  ขณะที่นั่งดูสมุดบันทึกแม่และเด็กพบเอกสารผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรม แต่ไม่ใช่ชื่อของตน กลับเป็นชื่อของ นางเอ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ตนจึงมั่นใจว่าแพทย์ได้เจาะน้ำคร่ำผิดคนแล้ว เพราะเอกสารผลเลือดที่ระบุเด็กมีความเสี่ยงเป็นดาวน์ซินโดรมที่แนบมากับสมุดบันทึกแม่และเด็กเป็นชื่อผู้หญิงคนอื่น ต่อมาวันที่ 5 ต.ค.2566 ตนจึงเอาเอกสารดังกล่าวไปสอบถามที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไร แจ้งแค่ว่าเอกสารผิดก่อนจะนำไปขยำทิ้ง แล้วปริ้นผลเลือดใบใหม่ที่เป็นชื่อของตนมาแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็ก ซึ่งเมื่อตนดูผลเลือดแล้วก็ไม่ได้ระบุว่าทารกมีความเสี่ยงดาวน์ซินโดรมแต่อย่างใด ประกอบกับ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2566 ผลการตรวจ NIPS ก็แจ้งมาว่า โครโมโซมของทารกในครรภ์ปกติทุกอย่าง เมื่อรู้ความจริงแทบช็อก!! เพราะตนได้ถูกเจาะน้ำคร่ำไปแล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกจะทำอย่างไร เพราะหลังจากเจาะตรวจน้ำคร่ำเมื่อวันที่ 3 ต.ค.2566 จนถึงวันที่ 6 ต.ค.2566 ตนก็ยังมีน้ำคร่ำไหลออกมาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกแห่งอยู่แถวเจริญกรุง แพทย์ตรวจร่างกายพบว่า ถุงน้ำคร่ำรั่ว ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนที่เจาะน้ำคร่ำ 1 ใน 350 คน จึงให้นอนแอดมิทดูอาการ พร้อมให้ยาฆ่าเชื้อ และอัลตร้าซาวด์ดูเด็กในครรภ์ ระหว่างนอนดูอาการ 3 วัน พบว่าเด็กในครรภ์อาการแย่ลงเรื่อยๆ 

ต่อมา วันที่ 10 ต.ค.2566 แพทย์ให้ตัดสินใจและทำการยุติการตั้งครรภ์ลง ในวันที่ 11 ต.ค.2566 ตนจึงได้ออกจากโรงพยาบาลย่านเจริญกรุง แล้วกลับมาพักที่บ้าน แต่ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกไป เพราะความผิดพลาดจากเอกสารใบเดียว หากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งแรกมีความละเอียดรอบคอบคงไม่เอาผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรมที่มีความเสี่ยงของคนอื่นมาใส่เป็นของตน และตนคงไม่ต้องเจาะถุงน้ำคร่ำจนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียลูกไป 

อย่างไรก็ตาม  ตนได้แจ้งเรื่องร้องเรียนไปที่โรงพยาบาล วันที่ 17 ต.ค.2566 ทางโรงพยาบาลให้ตนไปพบเจ้าหน้าที่และนิติกร แต่ก็เป็นเพียงการสอบถามรายละเอียดเท่านั้น จนถึงตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่มีคำขอโทษ หรือแจ้งว่าจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ตนกับสามีจึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย  สาวร้อง \'ปวีณา\' รพ.สลับผลตรวจ หมอเจาะน้ำคร่ำผิดคน จนต้องเสียลูก ด้านนางปวีณา กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับ รพ.ใหญ่ ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลานานแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ของครอบครัว ทั้งนี้ จากที่ได้รับฟัง เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อผิดพลาดของ รพ.น่าจะเกิดมาจากการที่ รพ.มีนโยบายไม่เรียกชื่อคนไข้ เรียกแต่หมายเลข และทางรพ.ได้สลับหมายเลขคนไข้ ทำให้ใบตรวจเลือดคนไข้สลับกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างยิ่ง และต้องไม่ให้เกิดเหตุขึ้นกับครอบครัวใครอีกต่อไป เนื่องจาก รพ.แห่งนี้ อยู่ในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) นางปวีณา จะประสานยังท่าน ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง รพ.ต้องรับผิดชอบกับครอบครัวคนไข้รายนี้ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป โดยนางปวีณา จะติดตามผลการดำเนินการร่วมกับกรุงเทพมหานครต่อไป 

logoline