
24 สิงหาคม 2566 หัวอกแม่บอบช้ำ ไลฟ์สดร่ำไห้ สุดเสียใจ ลูกชายชั้น ป.6 ย้ายไปโรงเรียนดีระดับอำเภอ ถูกเพื่อนในห้องรับน้องใหม่ ทำร้ายจนน่วมตั้งแต่อาทิตย์แรก ลูกเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเด็กร่าเริงซึมเศร้าอยู่คนเดียว แต่โรงเรียนโรงเรียนกลับบอกไม่มีอะไร เด็กตีกันประจำ ทนไม่ไหวต้องขอย้ายโรงเรียนหนี วอนโรงเรียนมีมาตรการป้องกันเด็กตีกันดีกว่านี้ กำลังเป็นไวรัลที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในจ.อุดรธานี
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น โดยเข้าพบกับผู้ปกครองคนดังกล่าว โดย นางเอ (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ลูกชายอายุ 11 ขวบ อยู่ชั้นป.6 เพิ่งย้ายมาเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษาแหน่งหนึ่งใน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ในเทอมแรกเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ถูกเพื่อนทำร้ายร่างกายจนแก้มช้ำ ใบหูเขียวคล้ำ ที่ผ่านมาลูกไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ เพราะเพื่อนขู่ไว้หากบอกใครจะเอาหนักกว่านี้
กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ลูกชายได้ถูกเพื่อนในห้องทำร้ายร่างกายอย่างหนัก ใบแก้มบวม ใบหูด้านซ้ายเขียวคล้ำ จึงรีบไปไปให้หมอตรวจ พบว่าหูเป็นหนองต้องรักษาตัวระยะหนึ่ง
จากนั้นได้เค้นสอบถามลูกชายจึงรู้ว่าถูกเพื่อนทำร้ายในห้องเรียนและถูกทำร้ายตั้งแต่เข้าเรียนอาทิตย์แรก หัวอกคนเป็นพ่อและแม่หัวใจแทบสลาย เพราะเพิ่งย้ายลูกไปเรียน ไม่เพียงเท่านั้นลูกชายจากเด็กร่าเริงกลับเป็นคนละคน ซึมเศร้า ชอบอยู่คนเดียว ทำให้แม่ต้องเครียดไปด้วยไม่คิดว่าส่งลูกไปโรงเรียนดีๆ กลับเจอเหตุการณ์แบบนี้ คนเป็นแม่ร้องไห้ทุกวันไม่กล้าออกไปเจอหน้าใคร ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย จนสามีต้องคอยปลอบใจตลอดเวลา
นางเอ กล่าวอีกว่า เมื่อไปสอบถามโรงเรียนว่าจะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กทำร้ายกันอีกในห้องเรียนไหม แต่ทางโรงเรียนบอกว่า "ไม่มีอะไรน่าตกใจ เรื่องเด็กตีกันไม่น่ากลัว เพราะมีประจำอยู่แล้ว" แถมยังโดนทางโรงเรียนขู่หากไปแจ้งความทำให้โรงเรียนเสียหายพร้อมสู้คดี เพราะปรึกษาทนายความ ผกก. และผู้การอุดรไว้แล้ว
นางเอ กล่าวว่า อยากให้ทางศึกษาธิการจังหวัด หรือสำนักงานเขตพื้นที่ฯ สพฐ.ช่วยมาดูแลในเรื่องนี้ด้วย เพราะคิดว่าไม่มีเฉพาะลูกชายตนเองที่ถูกทำร้ายร่างกายแค่คนเดียวเท่าที่รู้เด็กที่อ่อนแอก็จะถูกเพื่อนทำร้ายร่างกายไปหลายคนแล้วที่โรงเรียนแห่งนี้แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
เรื่องราวดังกล่าวทำให้ คุณแม่ จึงตัดสินใจไลฟ์สดเผยถึงเรื่องราวลูกชายที่ถูกทำเพื่อนในห้องร้าย ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า สามีทำงานเป็น รองผอ.กรมทางหลวง สังกัดกระทรวงคมนาคม ย้ายมาที่จ.อุดรธานี เมื่อปีที่แล้ว จึงได้เอาลูกเอาเมียมาอยู่ด้วย และย้ายลูกชายจากจ.กาฬสินธุ์ มาเรียนที่อ.หนองหาน เราเห็นว่าโรงเรียนนี้มีห้อง mep ที่สอนพิเศษภาษาอังกฤษและเป็นโรงเรียนประถมประจำอำเภอ จึงอยากให้ลูกชายไปเรียนแม้ค่าเทอมแพงเท่าไรก็ยอม
ไปเรียนเทอมแรกก็สังเกตุเห็นลูกชายไม่ค่อยพูดค่อยจากับพ่อแม่เท่าไร แต่ก็ไม่ได้เอะใจ แต่มาวันที่ 7 ส.ค.66 ที่ผ่านมา ลูกชายกลับมาจากโรงเรียนใบหน้าบวม ใบหนูมีรอยเขียวช้ำ จึงได้สอบถามลูก ลูกจึงยอมบอกว่าเพื่อนทำร้ายในห้องเรียนและทำร้ายมาตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เข้าเรียนเลย หัวอกแม่เมื่อรู้ลูกเป็นอย่างนั้น ยอมรับตรงๆ ร้องไห้เสียใจหนักมาก คนเป็นแม่ก็เครียด เพราะลูกชายซึมเศร้าอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงและยอมพูดกับใคร
แม่เองก็เครียดไปด้วยร้องไห้ทุกวัน จนอยากจะคิดฆ่าตัวตายและต้องไปพบจิตแพทย์ คิดมากเรื่องลูกที่ถุกทำร้าย อยากจะผ่านเรื่องราวนี้ไปให้ได้ แต่ก็ยังดีมีสามีคอยปลอบใจตลอดเวลา และเมื่อเราไปถามทางโรงเรียน จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กทำร้ายร่างกายไหม มีรองผอ.ท่านหนึ่งบอกว่า เรื่องเด็กทำร้ายร่างกายมีประจำนั่นแหละ ถือว่าเป็นการรับน้องใหม่ที่มีเด็กใหม่เข้ามาเรียนในโรงเรียนอย่าไปคิดมาก บางวันยังมีนักเรียนพกมีด สนับมือมาโรงเรียนเลย
แม่ได้ยินก็ตกใจและก็บอกไปว่า แล้วถ้าลูกเราเจ็บหนักกว่านี้ ตาบอด หรือเสียชีวิตแล้วจะเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าก็ต้องยอมรับสภาพ และบอกว่าอย่าไปพูดอะไรให้โรงเรียนเสียหายหรือไปแจ้งความนะ ทางโรงเรียนก็พร้อมจะสู้คดีเพราะปรึกษาทนาย ผกก.หนองหาน และผู้การอุดรไว้แล้วเหมือนขู่เราไว้ด้วย คิดดูหัวอกคนเป็นพ่อและแม่จะคิดอย่างไร เพราะเราคิดว่าโรงเรียนคือที่ปลอดภัยที่สุด แต่ลูกถูกทำร้ายเพราะเป็นการรับน้องใหม่
“หากลูกชายหนูไปทำร้ายเพื่อนในห้องก่อนบอกตรงๆ หนูจะด่าลูกชายด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ใช่ลูกชายถูกทำร้ายมาตลอด เพราะเขาเป็นคนไม่สู้คนและเราก็สอนเด็กให้เคารพพ่อแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เราออกมาพูดเราไม่ต้องการเรียกร้องอะไรหรือเรียกค่าเสียหาย แต่อยากให้โรงเรียนมีมาตรการป้องกันมากกว่านี้” คุณแม่พูดไปก็ร้องไห้ไป