
13 กรกฎาคม 2566 ที่สำนักงานเทศบาลตำบลโพธิ์กลาง ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ชาวบ้านตำบลโพธิ์กลาง รวมตัวกันเพื่อเข้ารับฟัง การประชุมชี้แจง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผลกระทบ จากการประกอบกิจการโรงงาน บดย่อยขยะหลอมพลาสติก หจก.แชมป์ พลาสติก รีไซเคิล
หลังจากชาวบ้าน ยื่นร้องเรียนไปยัง สำนักงานเทศบาลตำบลโพธิ์กลาง กรณีโรงงานพลาสติก มีกลิ่นเหม็น จากขยะที่โรงงานรับรีไซเคิล ที่เกิดจากการหลอมพลาสติก ซึ่งกลิ่นดังกล่าว ส่งผลกระทบกับชีวิต และความเป็นอยู่ ของชาวบ้านกว่า 120 หลังคาเรือน เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ
นายมานพ ปัญญาทิพย์ อายุ 52 ปี ชาวบ้าน กล่าวว่า โรงงานหลอมพลาสติก ส่งผลกระทบเรื่องกลิ่นกับชาวบ้าน โดยเฉพาะช่วงที่ โรงงานหลอมพลาสติกเพื่อรีไซเคิล ทำเป็นเม็ดพลาสติก กลิ่นจะมีความรุนแรง ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ได้รับผลกระทบในเรื่องของสุขภาพ มีอาการวิงเวียนศีรษะ
ชาวบ้านยื่นร้องเรียน ตั้งแต่ปี 64 ทางเทศบาลตำบลโพธิ์กลาง ลงพื้นที่ไปตรวจสอบแล้ว และมีคำสั่งให้ทำการยุติการดำเนินกิจการ เพราะส่งผลกระทบกับชาวบ้าน ในเรื่องสุขภาพ แต่ทางโรงงานไม่ได้มีการยุติ แต่อย่างใด แถมยังดำเนินกิจการต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านต้องทนทุกข์ กับกลิ่นเหม็นจากโรงงานนี้มาเกือบ 10 ปี
ภายหลังจากการประชุมชี้แจง เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 นครราชสีมา เทศบาลตำบลโพธิ์กลาง , ตำรวจ ปทส. , ตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา , ปลัดอำเภอเมืองนครราชสีมา , สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนครราชสีมา ได้ร่วมกันลงพื้นที่ไปยัง หจก.แชมป์ พลาสติก รีไซเคิล เพื่อตรวจสอบตามประเด็นที่ชาวบ้านร้องเรียน
เบื้องต้นพบว่า หจก.แชมป์ พลาสติก รีไซเคิล ไม่ได้มาตรฐาน ในการประกอบกิจการประเภทโรงงาน ทั้งตัวโรงงานที่ต้องเป็นระบบปิดตามมาตรฐาน เครื่องจักร และระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังพบว่า ทางโรงงานยังไม่มีการขออนุญาต ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน
ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 นครราชสีมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบ และมีการสั่งให้แก้ไขแล้ว แต่ทางเจ้าของโรงงานอ้างว่า ไม่มีเงินทุน เพราะผลจากการประกอบกิจการไม่ดี ทำให้ไม่มีเงินทุน ในการปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ได้ตามมาตรฐาน โดยข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ที่ตั้งของโรงงานนี้อยู่บนพื้นที่ป่าไม้ และอยู่ในพื้นที่สีเขียว ที่ไม่สามารถตั้งโรงงานอุสาหกรรมได้
นายธนัญชัย วรรณสุข ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 (นครราชสีมา) กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า โรงงานเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายหลายฉบับ ทั้งสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ อุตสาหกรรม และสาธารณสุข โดยเฉพาะในเรื่องของสาธารณสุข ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ที่โรงงานประกอบกิจการ ก่อให้เกิดมลภาวะและส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในเรื่องของกลิ่น และน้ำเสีย ที่ทางโรงงานได้ปล่อยออกไปในที่สาธารณะ
ซึ่งจากการตรวจสอบพบก๊าซอันตราย ที่มีระดับความเข้มข้น ที่มีแนวโน้มสามารถก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อสุขภาพต่อประชาชนได้ 3 ชนิด คือ ก๊าซฟอสฟีน , ฟิวแรน , ฟอสจีน ซึ่งถ้าหากประชาชนได้รับสารเหล่านี้เข้าร่างกาย ก็จะมีอาการเจ็บป่วย และถ้าได้รับเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้ถึงขึ้นเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะจากป่าไม้ และ สปก. พบว่าที่ดินดังกล่าวนั้น แต่เดิมนั้นเป็นของทาง สปก.และต่อมาได้ถูกโอนให้เป็นของทางป่าไม้ เนื่องจากไม่มีคนมายืนยันสิทธิ์ ในการถือครองที่ดินผืนดังกล่าว ซึ่งจาก พ.ร.บ.ของทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ก็สามารถสั่งยุติการดำเนินกิจการของทางโรงงานได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามยังคงตรวจสอบรายละเอียดให้ครบถ้วน ก่อนที่จะยื่นฟ้องดำเนินคดีกับทางเจ้าของกิจการ