ผบช.ภ.8 เผยปมคดียิงถล่มบ้าน "อดีตผู้ใหญ่บ้าน" ดับ 4 ศพ - เร่งล่ามือยิง

9 เมษายน 2566 ความคืบหน้า เหตุคนร้ายใช้อาวุธสงคราม ยิงถล่มบ้านพัก นายธรรมรงค์ "อดีตผู้ใหญ่บ้าน" บางงอน ในพื้นที่หมู่ 8 ต.กะเปา อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี จนมีผู้เสียชีวิต 4 ราย พบปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุกว่า 100 ปลอก พยานเผย เคยถูกลอบยิงมาแล้ว 1 ครั้ง เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (8 เม.ย.) หลังจากเจ้าหน้าที่ ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งรอบตัวบ้านที่เกิดเหตุตลอดทั้งคืน จนพบเบาะแสว่า ด.ต.อรรถพร อายุ 46 ปี ผบ.หมู่ (ป)สภ.คีรีรัฐนิคม เป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิง ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• คนร้ายใช้อาวุธสงคราม ยิงถล่มบ้าน "อดีตผู้ใหญ่บ้าน"บางงอน จ.สุราษฎร์ฯ ดับ 4 ศพ
• ตร.ได้เบาะแส มัดมือยิงถล่มผู้ใหญ่บ้านชื่อดัง ที่แท้ฝีมือลูกเขยที่เป็น ตร.

ล่าสุด พล.ต.ท.สุรพงศ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 บินด่วน นำกำลังลงพื้นที่จุดเกิดเหตุหลังประชุมติดตามความคืบหน้าที่ สภ.คีรีรัฐนิคม พร้อมเปิดเผยความคืบหน้าคดี โดยระบุว่า นายธรรมรงค์ อดีตผู้ใหญ่บ้านที่เสียชีวิตและมีศักดิ์เป็นพ่อตา ด.ต.อรรถพร ผู้ก่อเหตุ รู้จักกันมานานนับ 10 ปี  ขณะที่ด.ต.อรรถพร เป็นตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ที่ สภ.คีรีรัฐนิคม และด้วยความที่อารมณ์ร้อนและมีอาวุธปืน วันเกิดเหตุขณะที่อดีตผู้ใหญ่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ในบ้าน ระหว่างนั้น ด.ต.อรรถพร ได้เดินทางมาที่บ้านเพื่อเจรจากรณีที่มีการหย่าร้างภรรยาคือน.ส.พนิดา หรือตั๊ก ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่รงค์เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกันด้วย 

แต่ประเด็นคือที่ผ่านมาผู้ใหญ่รงค์พ่อตาไม่ได้ชอบใจลูกเขยที่ฐานะด้อยกว่า ทำให้มีประเด็นที่ไม่ลงลอยกันหลายเรื่องในมุมครอบครัวและมีความพยายามให้เลิกกันหลายครั้งและคาดว่าน่าจะเป็นชนวนนำมาสู่การก่อเหตุครั้งนี้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ได้กำชับให้เร่งรัดคดีเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ใช้อาวุธปืนหลายขนาด ทั้งอาวุธปืนเล็กยาว เป็นปืนลูกซอง อาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร หรือ เอ็ม.16 ขนาด 9 มิลลิเมตร ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกำลังเร่งตรวจสอบและแกะรอยหาตัวผู้ก่อเหตุ  ส่วนประเด็นอื่นๆก็ไม่ตัดทิ้งต้องพิจารณาตามพยานหลักฐานอีกครั้ง

โดยคนร้ายยังบอกไม่ได้ว่ามีใครบ้างแต่มีมากกว่า 3 คน ส่วนภาพวงจรปิดเป็นหลักฐานทางคดีอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุจะต้องนำไปตรวจสอบกับต้นสังกัดว่ามีการเบิกจ่ายออกมาจริงหรือไม่