เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจสอบสวนกลาง ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ป.ป.ป.) ได้ร่วมกันจับกุมปลัดอำเภอเมืองเชียงใหม่ กลางที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ หลังได้รับร้องเรียนว่า ปลัดอำเภอคนดังกล่าว มีพฤติกรรมมิชอบด้วยกฎหมาย เรียกรับผลประโยชน์ จากการออกใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุน กรณีใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน และเครื่องกระสุน หรือแบบ ป.3 โดยมิชอบ
หลังจากที่ได้รับเบาะแส ทาง ปปช. ได้มีการรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาได้มีการประสานงานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ปปท. รวมวางแผนดำเนินการกับข้อเท็จจริงที่ได้รับเบาะแส จึงเป็นที่มาของการจับกุมในวันนี้ โดยพฤติการณ์ ได้เรียกรับเงินจากผู้มาขอใบอนุญาต ซื้ออาวุธปืน จำนวน 3 กระบอก โดยเรียกรับเงินกระบอกละ 20,000 ถึง 25,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวจับกุมพร้อมได้ของกลาง เป็นใบอนุญาตและเงินสดจำนวนหนึ่ง ก่อนจะนำตัวมาสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เปิดเผยว่า การดำเนินการในวันนี้เป็นกานแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากที่ได้รับแจ้งข้อมูลเบาะแจ้งจากทาง ปปช. ได้ทำการลงพื้นที่ กับ ปปท. ทำการสืบสวนหาข้อเท็จจริง พร้อมเก็บพยานหลักฐาน และรับคำร้องทุกข์ โดยข้อมูลในเบื้องต้นค่อนข้างที่จะมีพยานหลักฐานจัดเจน ในการที่จะดำเนินคดี
ในวันนี้เป็นการนำเอาเงินที่เรียกรับมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้พยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ โดยได้มีการนัดหมายกัน เอาเงินดังกล่าวมาลงประจำวัน ในประเด็นขออนุญาตอาวุธปืน จำนวน 20 ฉบับ ฉบับละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 20,000 บาท เมื่อผู้ต้องหานำเงินไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ จึงได้ขอเข้าไปตรวจสอบและตรวจค้น ปรากฎพบเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งลงประจำวันไว้ และใบอนุญาตขอมีอาวุธปืน 2 ฉบับ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึด และทำการสอบถามที่มาที่ไปจากผู้ต้องหา
ผู้ต้องหาอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นสินน้ำใจ แต่จากข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ได้รับมา และจากการสืบสวน จึงมีความเชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่ได้มา ทำให้สามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐผู้นี้ได้ โดยโทษจะมีอัตราตั้งแต่ จำคุก 5 ปี ถึง ประหารชีวิต
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่จะให้ออกจากราชการหรือไม่ หน่วยงานน่าจะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวน แต่ตอนนี้ก็ดำเนินคดีในส่วนนี้ไป ซึ่งจะดำเนินการสืบสวนสอบสวน ภายในอำนาจ 30 วัน และจะส่งต่อให้คณะกรรมการของ ปปช.ไปดำเนินการ เพื่อที่จะสอบสวนเอง หรือจะส่งให้ ปปป. มาสอบสวนต่อไป
ข่าว/ภาพ : จักรินทร์ นมนาน สำนักข่าวเนชั่น ศูนย์ข่าวภาคเหนือ