บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป จัดงานสัมมนาหัวข้อ “EGCO Group Forum 2022 : Carbon Neutral Pathway ปฏิบัติการสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐและเอกชนร่วมนำเสนอโรดแมป ระดมความคิดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ( Carbon Neutral )
โดยในงานสัมมนา นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานกรรมการ เอ็กโก กรุ๊ป ได้กล่าวถึงนโยบายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างต่อเนื่องภายในปี ค.ศ. 2050 โดย10 ประเทศอาเซียน ได้กำหนดนโยบายลดคาร์บอนลง แต่ปัจจัยที่ยังเป็นห่วงคือ แต่ละประเทศ ยังมีความต้องการใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินต่อไป จะเป็นการส่งผลให้เส้นทางการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งได้แก่
ดังนั้นทางออกที่สำคัญในการแก้ปัญหานี้ คือการส่งเสริมให้ใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในหลายประเทศได้มีการออกนโยบายพลังงานสีเขียวเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนแล้ว เช่น รัฐบาลญี่ปุ่นให้ได้สนับสนุนทุนถึง 2 ล้านล้านเยน เพื่อลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในระยะแรก ส่วนระยะต่อมาก็จะให้เอกชนดำเนินการเองอย่างเต็มรูปแบบ และรัฐบาลยุโรปได้สนับสนุนเงิน 85,000 ล้านยูโร เพื่อปรับระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะนำไปสู่ภาคขนส่งสีเขียว ในขณะที่ประเทศไทยได้ปรับกรอบแผนพลังงานชาติ ปี ค.ศ. 2022 โดยกรอบหลักได้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างน้อย 50% การปรับพลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานสีเขียว และมาตรการสนับสนุนการใช้รถอีวี ปรับราคารถอีวีลงคันละ 2 แสนบาท เพื่อให้คนไทยหันมาใช้รถอีวีแทนรถสันดาป
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวในหัวข้อ Carbon Neutral Roadmap ว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องปรับตัวเพื่อรับมือและเติบโตไปพร้อมกับความท้าทายดังกล่าว เอ็กโก กรุ๊ป จึงขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด “Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth” เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยแบ่งเป้าหมายเป็น 2 ระยะ ได้แก่
สำหรับโรดแมป เอ็กโก กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดทั้งในไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็มีนโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่ถือหุ้นอยู่ รวมถึงการศึกษาและพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เช่น ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และการผลิตไฟฟ้าจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor - SMR) ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มีเสถียรภาพ และราคาเริ่มเแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องซื้อเทคโนโลยี จึงควรใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปยังภูมิภาคอาเซียนได้ด้วย รวมถึงอยากเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ไฮโดรเจน ซึ่งมีเสถียรภาพ ราคาแข่งขันได้ และตอบโจทย์ความเป็นกลางทางคาร์บอนในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) เพิ่มเติม นอกเหนือจากการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 50%
นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในฐานะผู้กำหนดทิศทางและให้ข้อเสนอแนะเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน มองว่าการแก้ปัญหาต้องวางแผนระยะยาว ทั้งการปรับตัวและการลด ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage - CCS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilisation and Storage - CCUS) หรือ ไฮโดรเจน ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรง ซึ่งจะต้องพิจารณาทั้งมิติความคุ้มค่าและมิติด้านเวลา ในการนำเข้าเทคโนโลยีให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด
นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า มีการประเมินว่าการปล่อยคาร์บอนจะไปสู่จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2025 และจะค่อย ๆ ลดลง หากมาตรการต่าง ๆ สัมฤทธิ์ผล จนปี ค.ศ. 2050 การปล่อยจะสมดุลกับการเก็บ ซึ่งอาจจะต้องมีตัวช่วย คือ เทคโนโลยีที่ทำให้การปล่อยถูกจำกัดลงด้วยเทคโนโลยี CCS หรือระบบ CCUS
นายพูนสิทธิ์ ว่องธวัชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคธุรกิจต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายต่าง ๆ ที่ได้ประกาศไว้
ภาคธนาคารตระหนักถึงความสำคัญของการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินไปสู่ภาคธุรกิจที่จะลงทุนในโครงการสีเขียวต่าง ๆ โดยจากคาดการณ์พบว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022-2050 จะเกิดช่องว่างทางการเงินของภาคขนส่ง พลังงาน อุตสาหกรรม และการเกษตร ที่ต้องการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ประมาณปีละ 2 แสนล้านดอลลาร์ ดังนั้น ภาคการเงินจะมีบทบาทช่วยผลักดันภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาพรวมของประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero