svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ม.รามคำแหง"ระอุ สภามร.แถลงถอดถอน "สืบพงษ์" 3 ข้อหาหนัก พ้นอธิการบดีทันที

08 พฤศจิกายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ออกแถลงข่าว มีมติถอดถอน "สืบพงษ์ ปราบใหญ่" พ้นอธิการบดี"ม.รามคำแหง" ทันที พบ 3 ข้อหาหนัก ด้าน"สืบพงษ์" มอบหมายทนายยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองขอคุ้มครองชั่วคราว

 

เมื่อวันที่ 8 พ.ย.65  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "สภามหาวิทยาลัยรามคำเเหงไ ออกเอกสารแถลงข่าว ฉบับที่ 1 เรื่อง การถอดถอน"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ออกจากตำแหน่งอธิการบดี
ใจความว่า

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่  อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

เมื่อเวลา 13.30 น วันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 "สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้มีการประชุมนัดสำคัญ เกี่ยวกับการพิจารณาผลการสอบสวนเรื่องที่"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่"อธิการบดี ถูกร้องเรียนว่าอาจเข้าข่ายกระทำความผิดและมีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งอธิการบดี

 

ที่ประชุมได้ใช้เวลาในการ พิจารณาถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน จึงมีมติที่เห็นควรแจ้งให้ประชาคมมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทุกภาคส่วน ได้รับทราบข้อเท็จจริงตรงกันดังต่อไปนี้

 

"ม.รามคำแหง"ระอุ สภามร.แถลงถอดถอน "สืบพงษ์" 3 ข้อหาหนัก พ้นอธิการบดีทันที

 

"ม.รามคำแหง"ระอุ สภามร.แถลงถอดถอน "สืบพงษ์" 3 ข้อหาหนัก พ้นอธิการบดีทันที

 

ด้วยเหตุที่ตำแหน่ง"อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง" เป็นตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้ที่ดำรงตาแหน่งดังกล่าวสมควรที่จะต้องยึดถือคุณลักษณะของผู้บริหารที่พึงประสงค์ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดีให้แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากร ตลอดจนนักศึกษา ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน อันเป็นการ ธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และหลักธรรมาภิบาลของมหาวิทยาลัยรามคำแหง 

 

"ม.รามคำแหง"ระอุ สภามร.แถลงถอดถอน "สืบพงษ์" 3 ข้อหาหนัก พ้นอธิการบดีทันที

 

แต่"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" กลับกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และข้อบังคับและระเบียบของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ. 2562 ด้วยพฤติการณ์ ดังต่อไปนี้


1. "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ใช้วุฒิการศึกษาปริญญา เอกที่ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ. ในการสมัตรเข้าบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ โดยสพนักงาน ก.พ. ได้รายงานให้สภามหาวิทยาลัยรามคำแหงทราบว่า จากการตรวจสอบวุฒิ การศึกษาระดับปริญญาเอกของผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ปรากฏว่า "ไม่พบข้อมูลระดับปริญญา เอก" รายละเอียดปรากฏตามหนังสือลับจากสำนักงาน ก.พ. ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565


ทั้งนี้ การใช้คุณวุฒิการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ. รับรองถือเป็นคุณสมบัติสำคัญตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย งบประมาณแผ่นดิน พ.ศ. 2551 ข้อ 20.1 และข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2556 ข้อ 26(1) ที่ กำหนดให้พนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ สามารถได้รับค่าจ้างตามคุณวุฒิและตามที่ก.พ. กำหนด

 

จึงหมายความว่า คุณวุฒิของพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ที่จะสามารถได้รับค่าจ้างตามอัตราเงินเดือนที่ สำนักงาน ก.พ. กำหนด ต้องเป็นคุณวุฒิที่สำนักงาน ก.พ. รับรองเท่านั้น และจากบทบัญญัติในข้อบังคับ ฯ ทั้งสอง ฉบับดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าคุณวุฒิการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ. รับรองถือเป็นคุณสมบัติประการสำคัญในการ บรรจุบุคคลเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจะได้บรรจุบุคคลให้ตรงตามความต้องการของมหาวิทยาลัย รวมทั้งจะต้องเป็นคุณวุฒิจากหลักสูตรการศึกษาที่มีมาตรฐานตามเกณฑ์สากล เพื่อให้การกาหนดอัตราเงินเดือนสาหรับคุณวุฒินั้นเหมาะสมและเป็นธรรม

 

ดังนั้น การที่สำนักงาน ก.พ. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบคุณวุฒิการศึกษาสำหรับผู้ที่ จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการหรือพนักงานราชการในหน่วยงานของรัฐ ประกอบกับข้อบังคับของ มหาวิทยาลัยรามคำแหงยังยึดโยงอยู่กับสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการรับรองคุณวุฒิการศึกษา กรณีข้อร้องเรียน เกี่ยวกับวุฒิการศึกษาในระดังปริญญาเอกของ"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดี

 

ย่อมมีมูลรับฟังได้ ว่า "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตามตำแหน่ง อาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มาตั้งแต่ต้นและจะไม่มีผลงานการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบริหารที่จะมี คุณสมบัติสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541

 

ผศ.สืบพงษ์  ปราบใหญ่  อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

2. "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ทาการรับโอนทรัพยสินที่ เกี่ยวกับการกระทาความผิดฐานร่ารวยผิดปกติ ซึ่งถือเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ จาก"นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" โดยการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการรับโอนที่ดินจำนวน 2 แปลง อันได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 52022 ตำบลบาง ปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และที่ดินโฉนดเลขที่ 52023 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัด นครนายก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ซึ่ง "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่"ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแล้ว และการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน"นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม"

 

กรณีมี เหตุควรเชื่อว่า"นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ร่ำรวยผิดปกติแล้ว และในท้ายที่สุด "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ก็ได้ถูกศาลฎีกาพิพากษายึดที่ดินดังกล่าวทั้งสองแปลงตกเป็นของแผ่นดินตามคำพิพากษาฎีกา ที่ 469/2561

 

นอกจากนี้ คณะกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นฯ ที่แต่งตั้งโดยสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ยังได้ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้ว "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่"  ไม่ได้นำส่งมอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงตามคำพิพากษาศาลฎีกา จนล่วงเลยระยะเวลามาประมาณ 2 ปีเศษ กระทั่งกระทรวงการคลังได้ยื่นค่าขอโอนตามกฎหมายโดยขอออกโฉนดใบแทน และได้มีการจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโอนให้กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563

 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ทั้งในฐานะพนักงานมหาวิทยาลัยรามคำแหง และต่อมาดำรงตำแหน่ง ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ตลอดจนกระทั่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคาแหงในปัจจุบัน กลับไม่เคยรายงานให้มหาวิทยาลัยได้ทราบถึงเรื่องราวดังกล่าว

 

ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติและคุณสมบัติต้องห้ามผู้บริหารและเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนละเมิดพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547มาตรา 39 วรรคท้าย


และมาตรา 40 รวมทั้งพฤติการณ์ดังกล่าวอาจเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผิดเกี่ยวกับการ รับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน ซึ่งถือเป็นความผิดฐานฟอกเงิน ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และมีอายุความ 15 ปี


3. "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องขอความเป็นธรรมจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จงใจบิดเบือนข้อมูล ใส่ร้ายป้ายสีกรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยการตัดแต่ง ข้อมูลอย่างปราศจากมโนสำนึก ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ สภามหาวิทยาลัยรามคาแหงดำเนินการตรวจสอบหรือสอบสวนเรื่องต่าง ๆ ที่"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ถูกร้องเรียน

 

กรณีการทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกานั้น สืบเนื่องจาก "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ได้เคยถูกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงถอดถอนออกจากตำแหน่งอธิการบดีมาครั้งหนึ่งแล้วด้วยข้อหาจงใจฝ่าฝืนข้อบังคับ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยการประชุมสภามหาวิทยาลัย พ.ศ. 2541 แต่ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ดังเดิมด้วย คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุด แต่ "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ยังจงใจใช้สิทธิซ้ำซ้อนใน การทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาขอความเป็นธรรม ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง


อย่างไรก็ตาม "สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง"ได้มีการทำหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาของ "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบแล้ว ส่วนรายละเอียดของการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาด้วยข้อความอันเป็นเท็จและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเป็นเช่นไรนั้น สภามหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้รายละเอียดด้วยประการใด ๆ ในขณะนี้ได้

 

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น หากคำนึงถึงเกียรติของตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งถือเป็นผู้บริหารสูงสุดของ มหาวิทยาลัย ที่จะต้องมีภาวะผู้นำและเป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย ด้วยการยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม ความถูกต้อง และความเป็นธรรมในสังคม ประกอบกับความรังเกียจของสังคมต่อการทุจริตในทุกรูปแบบ

 

ย่อมถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวของ"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้าข่ายเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารตามข้อ 7(4) ของข้อบังคับ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยคุณสมบัติละลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ. 2562


ดังนั้น พฤติการณ์ทั้งหมดข้างต้นของ"ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกอบกับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ย่อมเพียงพอต่อการที่สภามหาวิทยาลัยรามคำแหงจะไม่ไว้วางใจให้ "ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่" ดำรงตำแหน่งอธิการบดีอีกต่อไป และสมควรที่ สภามหาวิทยาลัยรามคำแหงจะมีมติให้ถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคาแหง

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ วันลงมติเป็นต้นไป อันเป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจโดยแท้ของสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงตามาตรา 18 (7) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541 และเป็นเหตุให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่ พ้นจากตำแหน่งอธิการบดีโดยทันทีตามมาตรา 23 วรรคสาม (6) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำเเหง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลัง"สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง"ออกมติถอดถอน "นายสืบพงษ์  ปราบใหญ่" พ้นอธิการบดี ทำให้"นายสืบพงษ์  ปราบใหญ่" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เตรียมมอบหมายทนาย ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว 

logoline