svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ไอติม พริษฐ์"ย้ำเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูถึงเวลาแก้ปัญหาครอบครองอาวุธปืน

07 ตุลาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"พริษฐ์ วัชรสินธุ"ชี้โศกนาฏกรรมหนองบัวลำภู เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายของสังคมไทย ถึงเวลารีบหาทางออกปัญหาครอบครองอาวุธปืน

7 ตุลาคม 2565 "นายพริษฐ์ วัชรสินธุ" ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เหตุการณโศกนาฏกรรมที่ จ.หนองบัวลำภู ทำให้ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องร่วมกันเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการร่วมกันหาทางออกในการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีก และร่วมกันออกแบบสังคมที่ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยให้ได้

 

"ไอติม พริษฐ์"ย้ำเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูถึงเวลาแก้ปัญหาครอบครองอาวุธปืน

 

ทั้งนี้ เหตุการณ์กราดยิงทั้งในอดีตและที่เพิ่งเกิดขึ้น สะท้อนถึงสารพัดปัญหาที่หมักหมมมายาวนานในสังคมไทย และที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาฉายภาพให้เห็นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการใช้และการแพร่ระบาดของยาเสพติด การคัดกรองเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ระบอบอุปถัมภ์และวัฒนธรรมอำนาจนิยมในองค์กร ความล่าช้าของตำรวจในการเข้าถึงที่เกิดเหตุ หรือ การขาดแคลนระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินกับประชาชน

 

นอกจากนี้ แต่ปัญหาหนึ่งที่มีส่วนสำคัญเช่นกัน คือ ปัญหาเรื่อง "การเข้าถึงและครอบครองอาวุธปืน" ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ทั้งโดยเจ้าหน้าที่-อดีตเจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไป
 

นายพริษฐ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า สถิติหนึ่งที่ค้นพบ คือ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรมปืนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย (3.91 ต่อประชากร 100,000 คน) - รองจากแค่ อิรัก (9.94) และ ฟิลิปปินส์ (8.02) และสูงกว่า มาเลเซีย (0.53) เวียดนาม (0.52) เกาหลีใต้ (0.08) ญี่ปุ่น (0.08) และ สิงคโปร์ (0.05) หลายเท่าตัว

 

ถึงแม้สหรัฐอเมริกา (10.95) - ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องกราดยิงเยอะเป็นพิเศษ โดยบางส่วนมองว่าเป็นผลจากนโยบายปืนเสรีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงปืนได้ง่ายกว่าในอีกหลายประเทศ - ในช่วงหลังๆ จะมีสถิติที่แย่กว่าประเทศไทยพอควร แต่ไม่กี่ปีก่อนก็มีสถิติที่ไม่ห่าง (หรือบางปีดีกว่า) ในไทยด้วยซ้ำ

 

"ไอติม พริษฐ์"ย้ำเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูถึงเวลาแก้ปัญหาครอบครองอาวุธปืน

 

แน่นอนว่าทางออกในประเทศไทยคงไม่ได้เรียบง่ายแค่การเพิ่มความเข้มงวดของเกณฑ์การครอบครองปืน หากจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ ระบบ-กฎหมาย-การบังคับใช้ ด้านการเข้าถึงอาวุธปืนที่อาจมีปัญหาบางจุด ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตดังนี้

1. เกณฑ์การขอใบอนุญาตมีปืนถูกกฎหมาย ไม่ครอบคลุมด้านสุขภาพจิต-ไม่มีการสอบวัดความพร้อม หรือไม่อย่างไร

 

แม้จะมีหลายเอกสารที่ประชาชนต้องยื่นหากต้องการขอใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) หรือใบอนุญาตพกพาปืน (แบบ ป.12) แต่ทั้งสองกระบวนการปัจจุบันไม่มีการขอใบรับรองจากจิตแพทย์เกี่ยวกับประวัติหรืออาการด้านสุขภาพจิต ซึ่งทำให้ไม่รู้ว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย ณ ปัจจุบันมีสุขภาพจิตที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสมที่จะครอบครองปืนหรือไม่

 

ในส่วนการเตรียมความพร้อม แม้จะมีการกำหนดว่าต้องแสดงหลักฐานว่าผ่านการฝึกอบรมการใช้อาวุธปืน แต่สังคมก็ตั้งคำถามถึงความรัดกุมของเนื้อหาการอบรมและความเข้มงวดของการรับรองมาตรฐานผู้ให้การอบรม รวมถึงการเสนอให้มีการสอบวัดความพร้อมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างจริงจัง เหมือนในหลายประเทศทั่วโลก

 

2. ข้าราชการเข้าถึงได้ง่ายกว่า แม้ในตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปืนในการทำหน้าที่ จริงหรือไม่

 

ที่ผ่านมา รัฐมีโครงการจัดหาปืนเป็นสวัสดิการให้ข้าราชการในหลายสังกัดเข้าถึงและขอใบอนุญาตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น แม้หลายครั้งเป็นการให้สิทธิแก่ข้าราชการในตำแหน่งที่อาจตั้งคำถามได้ในปัจจุบันว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ปืนในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภา ซึ่งการเข้าถึงปืนได้อย่างแพร่หลาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความรุนแรงหรือความเสี่ยงที่อาวุธปืนจะหลุดสู่ตลาดมืดได้

 

3. ระบบเส้นสายและการทุจริตคอร์รัปชันในการขอใบอนุญาต เปิดช่องโหว่ในการครอบครองปืนหรือไม่

 

เอกสารหนึ่งที่ข้าราชการต้องใช้เพื่อยื่นขอใบอนุญาตคือหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชา นอกจากถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวิธีการดังกล่าวในการคัดกรองคน ข้อกำหนดดังกล่าวยังมีข้อครหาว่าเปิดช่องให้เกิดการเรียกสินบน หรือการเซ็นอนุมัติโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการประเมินความเหมาะสมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างแท้จริง

 

4. อนุมัติครั้งเดียวครอบครองได้ตลอดชีวิต เพิ่มความเสี่ยงหากสถานการณ์เปลี่ยน จริงหรือไม่

 

เมื่ออนุมัติแล้ว ใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) เป็นใบอนุญาตที่ไม่มีวันหมดอายุ และไม่มีกำหนดการตรวจสอบหรือประเมินความเหมาะสมในการครอบครองเป็นระยะๆ ตรงนี้ทำให้หากคนหนึ่งถูกประเมินว่าอยู่ในสภาวะที่สมควรครอบครองอาวุธปืนได้อย่างปลอดภัย ณ วันที่ขอใบอนุญาต เขาจะสามารถครอบครองปืนไปได้ตลอดชีวิต แม้ในอนาคตอาจมีเหตุใดที่ทำให้เขาไม่อยู่ในจุดที่สมควรได้รับอนุญาตอีกต่อไป หรือมีเหตุใดที่ทำให้ใครอยากร้องให้มีการเพิกถอนใบอนุญาต ก็ไม่สามารถริบอาวุธปืนจากคนๆ นั้นได้

 

5. ตำรวจซื้อปืนในนามบุคคลได้ง่ายด้วยตำแหน่งที่มี เลยไม่ต้องคืนอาวุธแม้ถูกปลด ?

 

ปืนที่ตำรวจหลายคนมีในครอบครอง (รวมถึงของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู) ไม่ได้เป็นปืนของรัฐที่ตำรวจเบิกไปใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นปืนที่ตำรวจซื้อในนามส่วนตัว ซึ่งมีส่วนมาจากการที่อาวุธปืนของตำรวจซึ่งควรจะเป็นอุปกรณ์ที่รัฐบาลจัดหาให้ มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตำรวจชั้นผู้น้อยจึงต้องเจียดรายได้มาซื้ออาวุธปืนของตัวเอง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อซื้ออาวุธปืนในระหว่างที่เป็นตำรวจ จึงทำให้ขอใบอนุญาตได้ง่ายขึ้น และบางครั้งได้รับสวัสดิการตำรวจ ที่ทำให้ซื้อปืนในราคาที่ถูกกว่าประชาชนทั่วไป แต่พอถูกปลดจากตำแหน่งหรือพ้นหน้าที่ องค์กรไม่สามารถเรียกคืนปืนดังกล่าวได้ แม้จะไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะนับว่าเป็นปืนส่วนตัว เช่นในกรณีของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู

 

6. ปืนในระบบควบคุมได้ไม่รัดกุมแล้ว ปืนนอกระบบยิ่งควบคุมไม่ได้หนักกว่าเท็จจริงอย่างไร

 

แม้จำนวนปืนในระบบที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านกระบอก แต่มีการคาดการณ์ว่าปืนนอกระบบที่ไม่ถูกกฎหมายยังมีอีกประมาณ 6 ล้านกระบอก จนทำให้สัดส่วนประชากรที่ครอบครองปืนในไทยอาจสูงถึง 10-20% (หากเราคำนวณบนสมมุติฐานว่าคนที่มีปืนจะมีคนละ 1-2 กระบอก) – ด้วยปืนนอกระบบที่สูงถึงเกือบ 50% ของปืนทั้งหมดในประเทศ การเพิ่มความรัดกุมของเกณฑ์ในการขอใบอนุญาตครอบครองปืนในระบบ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากไม่มาควบคู่กับการกำจัดปืนนอกระบบด้วย (ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มักมีข้อครหาว่าถูกหล่อเลี้ยงโดยผู้มีอิทธิพลในหมู่ทหาร-ตำรวจบางกลุ่มเสียเอง)

 

7. "วัฒนธรรมปืน"ที่ทำให้การเข้าถึงปืนหรือการแก้ปัญหาด้วยปืน กลายเป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่

 

การวัดระดับหรือประเมินผลกระทบจาก "วัฒนธรรมปืน” เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ทำให้คนไทยหลายคนเติบโตมาพร้อมกับภาพของการใช้ปืน อย่างเช่นกิจกรรมในงานวันเด็ก ที่ให้เด็กสัมผัสและเล่นกับอาวุธปืนอย่างใกล้ชิด

 

แน่นอนว่าการแก้ปัญหา "การเข้าถึงอาวุธปืน" เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการป้องกันเหตุการณ์กราดยิงในอนาคตและการหาทางออกในวันนี้ (7ต.ค.) สายเกินและไม่เพียงพอต่อการเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของญาติผู้สูญเสียทุกคน

 

"แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ เพื่อผู้สูญเสียทุกคนที่จากเราไปก่อนเวลาอันควร คือ การไม่ยอมให้เหตุการณ์กราดยิงในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย ที่ทำให้รัฐและเราหันมาร่วมกันหาแนวทาง เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมที่น่าหดหู่เช่นนี้ เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต พริษฐ์ทิ้งท้าย" นายพริษฐ์ กล่าว

logoline