
11 ธันวาคม 2568 มูลนิธิไฮน์ริช โบลล์ สติฟท์ตุง ( Heinrich-Boll-Stiftung) ซึ่งเป็นมูลนิธิทางการเมืองของเยอรมนี ที่สังกัดพรรคกรีนแห่งเยอรมนี (Alliance 90/The Greens) เคยเผยแพร่บทความเกี่ยวกับ "ฮุน เซน" อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และปัจจุบันดำรงแหน่งประธานวุฒิสภา โดยใช้หัวข้อว่า "Hun Sen - One Man, One Nation" ซึ่งหมายการกุมอำนาจเอาไว้ในมือจนเมื่อพูดถึงกัมพูชา ก็จะนึกถึง "ฮุน เซน" ขึ้นมาเช่นกัน
ในบทความระบุว่า ใครก็ตามที่อยากเห็นสถานที่พำนักและที่ทำงานของนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในเอเชีย ต้องไปเยี่ยมชมสถานที่ 3 แห่งนี้ ซึ่งก็คือบ้านพักอย่างเป็นทางการของเขา
ฮุน เซน เคยประกาศที่จังหวัดกำปง สปือ เมื่อตอนที่เขาอายุครบ 60 ปีว่า "ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ เปลี่ยนผู้นำบ่อยกว่า แต่สำหรับผม ผมอยากจะทำตามแบบอย่างของจีนและเวียดนาม" .... "ผมจะรอจนกว่าจะอายุ 74 ปี ก่อนที่จะออกจากวงการการเมือง เหมือนที่พวกเขาทำในจีน" (แต่เขาลงจากตำแหน่งเร็วกว่าที่คาดไว้ เมื่อปี 2567 โดยยกให้บุตรชายคนโต คือ "ฮุน มาเนต" เป็นผู้สืบทอด)
นับตั้งแต่ปี 2528 ฮุน เซน ปกครองดินแดนกัมพูชา ซึ่งตอนแรกเขาประกาศเจตนารมย์ชัดเจนว่า ต้องการอยู่ในตำแหน่งจนถึงปี 2570 เขาบริหารประเทศในแบบ "เจ้าผู้ครองนคร" ในเอเชีย คนที่อยู่ฝ่ายเขาจะได้รับรางวัลเป็นงาน, สิทธิพิเศษ, กรรมสิทธิ์ที่ดิน และทำสัญญาต่างๆ ส่วนฝ่ายตรงข้าม เช่น นักข่าว หรือนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของเขา
มีเพียงทุก ๆ 5 ปี ที่ "ฮุน เซน" ต้องยอมให้ความต้องการของประชาชนอยู่เหนือเจตจำนงของตัวเอง ในอดีต เขามักจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่ในระยะหลัง เขาได้เรียนรู้ว่าประชาชนกัมพูชาส่วนใหญ่ ไม่ต้องการที่จะดำเนินชีวิตแบบเดิมต่อไปอีกแล้ว พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของเขา ไม่สามารถครองที่นั่งในสภาฯ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนเขาต้องใช้ไม้ตาย นั่นคือการ "กำจัด" ฝ่ายค้านให้พ้นทาง
ช่วงหลัง ๆ มานี้ บรรดาชาวกัมพูชาที่เพิ่งมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ต่างก็ต้องการที่จะเห็น "ความเปลี่ยนแปลง" โดยระบุว่า กว่า 30 ปี ภายใต้ "ฮุน เซน" มันเกินพอแล้ว เขาและพวกพ้องกอบโกยผลประโยชน์มานานพอแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูแลประชาชน
ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งคนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า ยากที่จะโค่นอำนาจฮุน เซน และลูกชายของเขาด้วยการเลือกตั้ง เพราะพรรค CPP โกงการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง
พุง ชิว เก็ก หัวหน้าองค์กรสิทธิมนุษยชน "Licadho" ที่ตรวจสอบการเลือกตั้งมายาวนาน บอกว่า จากการตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งจำนวนมากในวันเลือกตั้ง "ไม่มีรายชื่อใดเลยที่ไม่มี 'ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผี' ปรากฏอยู่ หรือไม่ก็ชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริงหายไป"
มีการออกเอกสารปลอมจำนวนมาก ให้กับผู้คนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนเสียง มีการสั่งให้ทหารที่ภักดีต่อ CPP ไปประจำการในเขตที่พวกเขากลัวว่าเสียงข้างมากของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย "เฉพาะในพนมเปญแห่งเดียว มีชื่อซ้ำกันถึง 25,000 ชื่อ และในที่อื่นๆ ก็มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สามารถพูดภาษาเขมรได้ด้วยซ้ำ"
ฮุน เซน รู้ดีว่า การบริหารประเทศแบบ "รวยกันแต่ในหมู่พวกพ้อง" ทำให้ความนิยมในตัวเขา และตระกูลฮุน ตกต่ำลง บวกกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เขาต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการ "ปลุกกระแสชาตินิยม" เช่น การหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนบ้านอย่างไทย เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาปากท้องที่ประชาชนในประเทศกำลังเผชิญอยู่
ต้นฉบับ
https://kh.boell.org/en/2013/08/23/hun-sen-one-man-one-nation