
7 พฤศจิกายน 2568 เอกสารภายในของ Meta Platforms Inc. ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ทั้ง Facebook, Instagram และ WhatsApp ที่ถูกเปิดเผยออกมา
โดย "สำนักข่าวรอยเตอร์ส" แสดงให้เห็นถึงการประเมินเชิงลึกที่น่าตกใจว่า Meta คาดการณ์ว่ารายได้รวมประจำปี 67 ประมาณ 10% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 520,000 ล้านบาท (อัตรา 32.5 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จะมาจากโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง (scams) และสินค้าที่ถูกห้ามจำหน่าย
เอกสารที่ครอบคลุมข้อมูลตั้งแต่ปี 64 จนถึงปัจจุบันเผยว่า บริษัทล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการระบุและยับยั้งโฆษณาหลอกลวงจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้ใช้งานหลายพันล้านคนต้องเผชิญกับการฉ้อโกงหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่อีคอมเมิร์ซและการลงทุนผิดกฎหมาย คาสิโนออนไลน์ ไปจนถึงการขายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ถูกแบน
โดยเอกสาร ณ สิ้นปี 67 ประเมินว่า แพลตฟอร์มของ Meta แสดงโฆษณา "ความเสี่ยงสูง" (higher risk scam advertisements) ที่มีสัญญาณของการฉ้อโกงชัดเจน ให้ผู้ใช้เห็นเฉลี่ยมากถึง 15,000 ล้านรายการต่อวัน โดยโฆษณาเหล่านี้สร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือราว 227,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบความพยายามหลอกลวงแบบออร์แกนิก (ไม่ผ่านการซื้อโฆษณา) อีกกว่า 22,000 ล้านครั้งต่อวัน
ความรุนแรงของปัญหาถูกเน้นย้ำด้วยข้อมูลภายในที่ระบุว่า แพลตฟอร์มของ Meta มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐฯ ถึง 1 ใน 3 ของการฉ้อโกงทั้งหมด (ข้อมูลเดือน พ.ค. 68) และยังพบว่าความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินจากการฉ้อโกงในสหราชอาณาจักร ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของ Meta นั้น สูงถึง 54% ในปี 66 ซึ่งสูงกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ ถึง 2 เท่า
ในส่วนของการจัดการกับผู้ลงโฆษณาที่น่าสงสัยนั้น Meta มีนโยบายที่จะดำเนินการแบนได้ก็ต่อเมื่อระบบอัตโนมัติของบริษัทมีความมั่นใจว่ามีการฉ้อโกงไม่ต่ำกว่า 95% เท่านั้น หากความมั่นใจยังไม่ถึงเกณฑ์ บริษัทจะใช้มาตรการ "Penalty Bids" หรือการเรียกเก็บค่าโฆษณาในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อเป็นมาตรการลงโทษทางอ้อม และลดโอกาสที่ผู้ลงโฆษณาที่มีความเสี่ยงจะเผยแพร่เนื้อหาหลอกลวงต่อไป
ซึ่งเอกสารภายในยังระบุถึงแรงจูงใจทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยพบว่ารายได้จากโฆษณาฉ้อโกงที่มีความเสี่ยงทางกฎหมายสูงนั้นสูงกว่าค่าปรับทางกฎหมายที่บริษัทอาจต้องเผชิญ
โดย Meta คาดการณ์ค่าปรับสูงสุดเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 32,500 ล้านบาท เทียบกับรายได้จากโฆษณาประเภทเดียวกันที่สูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 113,750 ล้านบาท) ทุกหกเดือน
ความลังเลที่จะดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มงวดจริงจังยังถูกตอกย้ำด้วยเอกสารที่ระบุว่า ผู้บริหารได้เสนอแผนต่อ "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ในเดือนตุลาคม 67 ให้มุ่งเน้นความพยายามปราบปรามไปยังประเทศที่บริษัทกังวลว่าจะมีการดำเนินการด้านกฎระเบียบในระยะสั้นเท่านั้น แทนที่จะเป็นการปราบปรามอย่างรวดเร็วและครอบคลุมทั่วโลก
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ทีมงานที่รับผิดชอบการตรวจสอบผู้ลงโฆษณาไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการใดๆ ที่อาจทำให้บริษัทสูญเสียรายได้มากกว่า 0.15% ของรายได้รวม หรือประมาณ 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 4,387 ล้านบาท
ด้าน นายแอนดี สโตน โฆษกของ Meta ได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวต่อสาธารณะ โดยระบุว่า ตัวเลขประมาณการ 10.1% ของรายได้ในปี 67 นั้น เป็นการนำเสนอมุมมองที่เลือกบางส่วนซึ่งบิดเบือนแนวทางของ Meta เนื่องจากเป็นการคาดการณ์แบบหยาบและครอบคลุมโฆษณาที่ถูกต้องตามกฎหมายไว้ด้วย
พร้อมยืนยันว่าตัวเลขจริงต่ำกว่าที่ถูกกล่าวหามาก และบริษัทยืนยันการต่อสู้กับการฉ้อโกงและการหลอกลวงอย่างจริงจัง โดยในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา บริษัทลดโฆษณาหลอกลวงได้ 58% และลบโฆษณาประเภทนี้ไปแล้วกว่า 134 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทุ่มเทเงินลงทุนด้านความปลอดภัยและ AI จำนวนมหาศาล
ภาพและข้อมูลจาก รอยเตอร์ และ ฐานเศรษฐกิจ