
31 ตุลาคม 2568 แหล่งข่าวในราชสำนักบักกิงแฮม เปิดเผยว่า เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแคทเธอรีน "เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์" ทรงสนับสนุนพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส ที่ 3 ที่ให้ถอด "คำนำหน้าชื่อ" (Style), "บรรดาศักดิ์" (Titles) และ "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" (Honours) ของ "เจ้าชายแอนดรูว์" พระอนุชา ให้เหลือเพียง "แอนดรูว์ เมาท์แบ็ทเทน วินด์เซอร์"
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าชาร์ลส ทรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง หลังทรงหารือกับคณะองคมนตรี โดยปราศจากแรงกดดันจากรัฐบาลหรือ สมาชิกพระราชวงศ์อื่นๆ เพียงเจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารและพระชายาแคทเธอรีน ทรงสนับสนุนเท่านั้น ส่วนกระบวนการ "ถอด" ได้ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่จำเป็นต้องทำให้ถูกต้อง เมื่อเผชิญกับ "ความท้าทายครั้งใหญ่"
ส่วนเรื่องพระตำหนัก "Royal Lodge" ไม่มีการแจ้งให้เจ้าชายแอนดรูว์ย้ายออก เพราะสัญญาเช่าเป็นของพระองค์เอง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับพระองค์ที่แจ้งยกเลิกสัญญาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ต่อต้านกระบวนการนี้ และจะย้ายไปยังที่ดินส่วนตัวในเขตพระราชฐานแซนดริงแฮม ที่ได้รับการสนับสนุนจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าชาร์ลส
พระเจ้าชาร์ลสทรงมีพระราชโองการไปยัง "ประธานศาลสูงสุดแห่งบริเตนใหญ่" (Lord Chancellor) เพื่อถอดเจ้าชายแอนดรูว์ออกจากบัญชีขุนนาง และคำนำหน้าพระนาม "His Royal Highness" ที่มีผลทันที
แม้ถูกถอดจากการเป็นสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง แต่พระธิดาทั้งสองพระองค์ คือ เจ้าหญิงเบียทริซและเจ้าหญิงยูจินี จะยังคงดำรงพระอิสริยยศเดิมไว้ โดยอ้างอิงจากสิทธิบัตรอักษรปี 1917 ของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (King George V's Letters Patent of 1917) หรือ เอกสารที่กำหนดและจำกัดสิทธิ์ในการใช้คำนำหน้า (Royal Highness) สำหรับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษ แหล่งข่าวระบุว่า พระเจ้าชาร์ลสทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะ "ปกป้อง" เจ้าหญิงเบียทริซ และเจ้าหญิงยูจินี ซึ่งทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2
ชีวิตที่พลิกผันจากเจ้าชายสู่สามัญชนของ "แอนดรูว์" มีต้นตอมาจากความสัมพันธ์กับ "เจฟฟรีย์ เอปสตีน" มหาเศรษฐีนักธุรกิจที่มีหลังจากค้าประเวณีผู้เยาว์ และอดีตเหยื่อ "เวอร์จิเนีย จุฟเฟร" ได้ยื่นฟ้องพระองค์ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ แม้จะทรงปฏิเสธมาโดยตลอด แต่แรงกดดันมหาศาลจากสาธารณชน ทำให้คดีสิ้นสุดลงด้วยการยอมความนอกศาล ซึ่งก็คือการจ่ายค่าเสียหายให้แก่จุฟเฟร
ฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อหนังสือบันทึกความทรงจำ หลังการเสียชีวิตของจุฟเฟร ชื่อ "Nobody's Girl: A Memoir of Surviving Abuse and Fighting for Justice" ถูกวางจำหน่ายในเดือนนี้ โดยเนื้อหาสำคัญ ระบุว่า ถูกเจ้าชายแอนดรูว์ล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่เธอยังเป็นวัยรุ่น และเธอได้จบชีวิตตนเองเมื่อเดือนเมษายน ขณะมีอายุ 41 ปี
ข้อกล่าวหาของ จุฟเฟร ตรงกับสำนวนที่ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงแมนฮัตตัน ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า เธอถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับเจ้าชายแอนดรูว์ถึง 3 ครั้ง ระหว่างปี 2544-2545 ขณะมีอายุเพียง 17 ปี และยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทั้งยังมีภาพที่ถ่ายคู่กับพระองค์ และภาพเดียวกันนี้ ก็ถูกเผยแพร่โดยสื่อหลายสำนัก ก่อนจะสูญสิ้นคำนำหน้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เจ้าชายแอนดรูว์ได้สูญเสียสิ่งสำคัญอันเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีไปหลายอย่างแล้ว ตั้งแต่
แต่แม้จะกลายเป็น "แอนดรูว์ เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์" แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในลำดับที่ 8 ของการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องให้รัฐสภาออกกฎหมายเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าชายแอนดรูว์ ทำให้มีการมองไปถึงอนาคตของเจ้าชายแฮร์รีกับชายา เมแกน ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซ็กซ์ ที่ปัจจุบันพำนักอยู่ที่สหรัฐฯ และมีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ นับตั้งแต่ถอยออกจากการเป็นสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง และให้สัมภาษณ์โจมตีราชวงศ์มาโดยตลอด รวมทั้งการที่เจ้าชายแฮร์รีออกหนังสือชื่อ "Spare" ที่พุ่งเป้าโจมตีเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์โดยตรง
มีการเปรียบเปรยว่า ถ้าเจ้าชายวิลเลียมกับเจ้าหญิงแคทเธอรีนเป็นลาสบอส ที่ส่งให้เจ้าชายแอนดรูว์กลายเป็นสามัญชน นี่ก็อาจเป็นแค่ "การทดสอบระบบ" เพราะของจริงน่าจะตื่นเต้นยิ่งกว่านี้ ตามที่แหล่งข่าวในราชสำนักบอกว่า "Andrew is just the start... and the 'bigger unravelling coming next" (แอนดรูว์น่ะแค่เริ่ม ของจริงที่ใหญ่กว่ากำลังจะตามมา)