
26 กันยายน 2568 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการในสถาบันพระปกเกล้า ที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคการปกครอง ระบุว่า
เมื่อเฟอร์ดินานด์ “บองบอง” มาร์กอส จูเนียร์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในปี 2022 เขาถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นทายาทของอดีตผู้นำเผด็จการ แต่เขาสามารถสร้างแบรนด์ทางการเมือง “Bagong Pilipinas” หรือ “ฟิลิปปินส์ใหม่” ที่ดึงดูดทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วไปและคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ผ่านการใช้สื่อดิจิทัล การจัดการภาพลักษณ์ และการตลาดทางการเมืองที่ทันสมัย ทว่าผ่านมาเพียงไม่กี่ปี กระแสสนับสนุนของเยาวชนที่เคยเป็นฐานสำคัญกำลังสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด
Bongbong Marcos (บองบอง มาร์กอส) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนที่ 17
จุดเริ่มต้นของความนิยม: Bagong Pilipinas และภาพลักษณ์ “ความต่อเนื่องใหม่”
หนึ่งในจุดแข็งของบองบองคือความสามารถในการสร้าง “เรื่องเล่าใหม่” เกี่ยวกับการเมืองฟิลิปปินส์ เขานำเสนอตัวเองไม่ใช่เพียงทายาททางการเมืองของตระกูลมาร์กอส แต่เป็นผู้สืบทอด “โอกาสที่จะทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า” เขาใช้การสื่อสารเชิงดิจิทัลเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่าน TikTok Facebook YouTube และแคมเปญออนไลน์ที่ดึงดูดสายตา เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ลงลึกเชิงนโยบาย แต่เน้นภาพลักษณ์เชิงบวก ความทันสมัย และความหวังว่าจะมี “ฟิลิปปินส์ที่ดีกว่า”
สำหรับคนหนุ่มสาวที่อาจรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมืองที่เต็มไปด้วยการทะเลาะและความขัดแย้งในอดีต บองบองจึงถูกมองว่าเป็น “ทางเลือกใหม่” ที่อาจสร้างความมั่นคงและการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน
ทำไมความนิยมเริ่มถดถอย?
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังที่สูงกลับชนเข้ากับความเป็นจริงทางการเมืองที่ซับซ้อน หลายปัจจัยทำให้คนรุ่นใหม่เริ่มเปลี่ยนใจและตั้งคำถามต่อบองบอง
1. งบประมาณการศึกษาและมหาวิทยาลัยรัฐถูกตัดลด
การปรับลดงบประมาณสำหรับมหาวิทยาลัยของรัฐ (State Universities and Colleges – SUCs) ถือเป็นประเด็นที่สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมากในสังคมฟิลิปปินส์ เพราะมหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นเส้นทางหลักที่เปิดโอกาสทางการศึกษาแก่คนหนุ่มสาวจากครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่างและชนชั้นแรงงาน
การตัดงบไม่เพียงหมายถึงการลดการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือทรัพยากรการเรียนการสอน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อโครงการทุนการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา และคุณภาพของบริการพื้นฐานในรั้วมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนสะท้อนว่า พวกเขาต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ตั้งแต่ค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้นไปจนถึงค่าครองชีพที่ไม่ได้รับการเยียวยา ขณะที่ครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้จำกัดต้องแบกรับภาระที่หนักเกินตัว ความฝันของเยาวชนจำนวนมากที่หวังจะใช้การศึกษาเป็นบันไดสู่โอกาสที่ดีกว่าจึงถูกบั่นทอนลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไปกว่านั้น การลดงบยังถูกตีความว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในคนรุ่นใหม่ ทั้งที่การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว การตัดลดนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการคลัง แต่ยังเป็นการส่งข้อความทางการเมืองที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งและไม่ถูกนับรวมอยู่ในวิสัยทัศน์ “ฟิลิปปินส์ใหม่” ที่รัฐบาลพยายามโฆษณา
2. ปัญหาเศรษฐกิจและ “job mismatch”
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของคนรุ่นใหม่ในฟิลิปปินส์คือปัญหา “job mismatch” หรือการไม่ตรงกันระหว่างทักษะที่เรียนมากับความต้องการของตลาดแรงงาน แม้จะมีบัณฑิตจบใหม่จำนวนมากจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แต่หลายคนกลับไม่สามารถหางานที่ตรงกับสาขาวิชาที่เรียนมาได้ ส่งผลให้ต้องหันไปทำงานนอกสาย เช่น งานบริการ งานพาร์ทไทม์ หรือแม้แต่งานที่มีรายได้ต่ำและไม่มั่นคง
ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อค่าครองชีพในเมืองใหญ่ เช่น มะนิลาและเซบู เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งค่าเช่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าอาหาร ทำให้รายได้ที่ต่ำอยู่แล้วแทบไม่พอเลี้ยงชีพ
นอกจากนี้ การพึ่งพาการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจที่ฟิลิปปินส์ใช้มาอย่างยาวนาน ยังตอกย้ำความรู้สึกของเยาวชนว่าประเทศไม่สามารถสร้างโอกาสที่แท้จริงให้กับพวกเขาได้ในบ้านเกิด หลายครอบครัวหวังพึ่งเงินโอนจากสมาชิกที่ไปทำงานต่างแดนมากกว่าที่จะพึ่งพารัฐบาลในการสร้างงานคุณภาพภายในประเทศ ปัญหาการว่างงานแฝงและการทำงานต่ำกว่าศักยภาพ (underemployment) กลายเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวเชิงนโยบาย
สำหรับคนหนุ่มสาว ความไม่สอดคล้องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกว่า “รัฐบาลไม่เห็นอนาคตของเรา” การที่เรียนหนักและลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้ปริญญา แต่กลับไม่สามารถใช้ต่อยอดเป็นงานที่มั่นคง ย่อมสร้างความผิดหวังอย่างลึกซึ้ง และกลายเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนตั้งคำถามต่อความสามารถของรัฐบาลในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
3. ภาพลักษณ์ว่าเน้น “โฆษณาชวนเชื่อ” มากกว่านโยบายจริง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความนิยมของบองบอง มาร์กอสในหมู่เยาวชนลดลงคือการถูกมองว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างภาพมากกว่าการผลักดันนโยบายที่เป็นรูปธรรม ตัวอย่างชัดเจนคือการเปิดตัวสัญลักษณ์และพิธีการทางการเมือง เช่น เพลงและคำปฏิญาณ “Bagong Pilipinas Hymn and Pledge” ที่ถูกประกาศให้หน่วยงานรัฐและโรงเรียนต้องร้องหรือกล่าวในกิจกรรมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นเพียง propaganda ที่ตั้งใจปลุกกระแสชาตินิยมและสร้างความชอบธรรมเชิงสัญลักษณ์ให้กับรัฐบาล มากกว่าจะเป็นมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาปากท้องหรือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คน
สำหรับเยาวชนที่เติบโตมากับข้อมูลข่าวสารรอบด้านและคุ้นชินกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงบนโลกออนไลน์ การเน้นพิธีกรรมลักษณะนี้ยิ่งถูกมองว่าเป็นการ “ขายฝัน” หรือสร้างภาพลวงตาโดยไม่ตอบโจทย์จริง ปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ทุกวัน เช่น ค่าเล่าเรียนสูง การหางานยาก หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยเพลงหรือคำขวัญ การกระทำเช่นนี้จึงยิ่งตอกย้ำช่องว่างระหว่าง “ภาพลักษณ์ของรัฐบาล” กับ “ความเป็นจริงในชีวิตประชาชน”
การวิจารณ์ดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในหมู่เยาวชนลดลงอย่างต่อเนื่อง และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการตั้งคำถามถึงความ
สัญลักษณ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องตอบสนองต่อความต้องการจริง เช่น การศึกษา งานที่มั่นคง รายได้ที่เพียงพอ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แท้จริง
ถ้ารัฐบาลยังเพิกเฉยต่อความต้องการเหล่านี้ เยาวชนอาจหันไปสนับสนุนฝ่ายค้าน หรือสร้างขบวนการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ที่อยู่นอกระบบพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อรัฐบาลและอาจเปลี่ยนทิศทางการเมืองฟิลิปปินส์ในระยะกลางถึงยาว
กรณีบองบองแสดงให้เห็นว่า การดึงดูดใจเยาวชนด้วยภาพลักษณ์และการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์สามารถสร้างกระแสได้ในระยะสั้น แต่จะไม่ยั่งยืนหากไม่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่แท้จริง เมื่อคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าถูกหลอกหรือผิดหวัง พวกเขาไม่เพียงแค่ถอนการสนับสนุน แต่ยังสามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
สำหรับฟิลิปปินส์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับคนหนุ่มสาวจึงเป็นบททดสอบสำคัญว่าจะก้าวไปสู่ “ฟิลิปปินส์ใหม่” ที่เป็นจริง หรือจะกลับกลายเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองที่ถูกท้าทายจากข้างถนนในไม่ช้า
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Bongbong Marcos / wikipedia /polsci.chula