svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

"ทรัมป์" ใช้ทฤษฎีคนบ้าเป็นกลไกบังคับโลก

การสั่งใช้ปฏิบัติการโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีต่างตอบแทนไปยังประเทศต่างๆ ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" แสดงให้เห็นว่าเขากำลังใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" ขับเคลื่อนการเมืองและเศรษฐกิจโลก

8 กรกฎาคม 2568 "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) เป็นคำนิยามที่นักรัฐศาสตร์ ใช้เรียกผู้นำประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่พยายามทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่า เขาเป็นคนมีอารมณ์แปรปรวนที่ยากแก่การคาดเดา และพร้อมจะทำอะไรก็ตามเพื่อบีบบังคับให้เกิดการยอมอ่อนข้อ ซึ่งถ้าได้ผล ก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธิ์ที่สามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายทำตามต้องการได้ และทรัมป์ ก็เชื่อด้วยว่า มันจะทำให้บรรดาประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ไปอยู่ในจุดที่เขาต้องการ

ตอนที่อิสราเอลใช้ปฏิบัติการสิงโตผงาด (Operation Rising Lion) โจมตีเป้าหมายทางทหารและฐานปฏิบัติการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ผู้สื่อข่าวได้ถามทรัมป์ว่า เขาวางแผนจะเข้าร่วมกับอิสราเอลโจมตีอิหร่านหรือไม่ เขาตอบว่า "ผมอาจจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผมจะทำอะไร" และเขายังทำให้โลกเชื่อด้วยว่า สนับสนุนให้มีการหยุดยิงนาน 2 สัปดาห์ เพื่อโน้มน้าวให้อิหร่านกลับสู่โต๊ะเจรจา

"ทรัมป์" ใช้ทฤษฎีคนบ้าเป็นกลไกบังคับโลก

แต่ ทรัมป์ กลับอนุมัติแผน "ปฏิบัติการค้อนเที่ยงคืน" (Operation Midnight Hammer) ด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด "B-2 Spirit" นำระเบิดทะลวงบังเกอร์ "GBU-57 A/B" ที่ทรงพลังที่สุดในคลังแสงของสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ ไปโจมตีที่ตั้งโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม 2 แห่ง ของอิหร่าน และยิงขีปนาวุธ Tomahawk จากเรือดำน้ำโจมตีแห่งที่ 3   

ทรัมป์ ยังกำลังทำลาย "ระเบียบโลก" ด้วยการทำท่าว่าจะ "ทิ้งทุ่น" พาสหรัฐฯ ออกจากการเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) โดยระบุว่า จะไม่เป็นผู้ค้ำประกันหลักด้านความมั่นคงของชาติยุโรปอีกต่อไป ประเทศต่างๆ ในยุโรป ควรมีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันประเทศของตนเอง รวมถึงออกค่าใช้จ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยทวีปของตัวเองด้วย โดยยืนยันว่า ถ้าประเทศสมาชิก "ไม่จ่าย" ก็จะไม่ได้รับการปกป้อง 

ท่าทีของทรัมป์ กำลังทำลายรากฐานด้านความมั่นคงของยุโรปที่ยืนหยัดมานานเกือบ 80 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 5 ของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty) ที่ระบุว่า การโจมตีประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งของชาติพันธมิตรถือเป็นการโจมตีประเทศสมาชิกทั้งหมด

"ทรัมป์" ใช้ทฤษฎีคนบ้าเป็นกลไกบังคับโลก

ทรัมป์ เลือกที่จะแสดงท่าทีที่สั่นคลอนยุโรป ในช่วงที่พวกเขากำลังวิตกต่อภัยคุกคามจากรัสเซีย ที่ดูเหมือนจะได้ผล เมื่ออังกฤษเริ่มตื่นตัวด้วยการทุ่มงบประมาณกลาโหมปรับปรุงกองทัพครั้งใหญ่ รวมทั้งการสั่งซื้อ F-35A เครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ผลิตโดยบริษัท Lockheed Martin ของสหรัฐฯ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินรบที่ล้ำหน้าที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก และมีราคาแพงที่สุด แต่อังกฤษสั่งซื้อรวดเดียว 12 ลำ 

นี่คือรูปแบบที่ตรงกับทฤษฎีคนบ้าของทรัมป์ สิ่งที่คาดเดาได้มากที่สุด ก็คือความไม่สามารถคาดเดาได้อะไรจากเขาได้เลย เขาเปลี่ยนใจกลับไปกลับมา ขัดแย้งกับตัวเอง ไม่มีความสม่ำเสมอ กลไกการกำหนดนโยบายรวมศูนย์ที่ตัวเขา การตัดสินใจด้านนโยบายขึ้นอยู่กับอารมณ์และความชอบของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และมันถูกใช้ขับเคลื่อนนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจด้วย

"ทรัมป์" ใช้ทฤษฎีคนบ้าเป็นกลไกบังคับโลก

ในด้านกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ ทรัมป์ ทำให้โลกปั่นป่วนด้วยการประกาศตั้งกำแพงภาษี ต่างตอบแทน (reciprocal tariffs) บรรดาประเทศที่เขาเรียกว่า "เอาเปรียบ" ดุลการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่เขาเรียกว่า "วันปลดแอก" (Liberation Day) ประกาศขึ้นภาษีเป็นรายประเทศ ที่ตอนแรกจะให้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 3 เมษายน 2568 ก่อนจะประกาศระงับไป 90 วัน เพื่อให้รัฐบาลของเขาได้เจรจาข้อตกลงการค้าที่เอื้อประโยชน์ที่เสนอโดยแต่ละประเทศ 

จนกระทั่งวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันชาติ ทรัมป์กลับประกาศว่า ได้ส่งจดหมายไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มแรก 12 ประเทศ รวมทั้งไทย ระบุอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในอัตราใหม่ที่สูงกว่าเดิม ทำให้หลายประเทศต้องงัดข้อเสนอที่ยอมเจ็บตัว เพื่อแลกกับความพึงพอใจของทรัมป์ 

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า "หลักการ" ที่ทรัมป์นำมาใช้เป็นผลพลอยได้จากการที่เขาเคยเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน เมื่อเขาขึ้นเป็นผู้บริหารประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก เขาก็ใช้อำนาจที่มีแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์สูงสุดให้แก่สหรัฐฯ เพื่อคืนความยิ่งใหญ่ดังที่เขาพูดไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้งว่า จะทำให้ "อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" (Make America Great Again)

"ทรัมป์" ใช้ทฤษฎีคนบ้าเป็นกลไกบังคับโลก