svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

ครบรอบ 50 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต "ไทย-จีน"

เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน พบว่า ทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิด มีความร่วมมือและแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ

1 กรกฎาคม 2568 ทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ปัจจุบัน มีสถานเอกอัครราชทูตของไทย ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่งและสถานกงสุลใหญ่ 9 แห่ง ได้แก่ กว่างโจว คุนหมิง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู หนานหนิง ซีอาน เซียะเหมิน ฮ่องกง และชิงต่าว ส่วนจีน มีสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ และสถานกงสุลใหญ่ที่เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น และภูเก็ต 

ความสัมพันธ์หยั่งรากลึกมานานกว่าร้อยปี ย้อนไปในประวัติศาสตร์ ในสมัยจักรพรรดิอู่ตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ได้มีการบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชนชาติไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับจีน ที่มีการติดต่อค้าขายระหว่างกัน และไทยได้รับเทคนิคและภูมิปัญญาเครื่องปั้นดินเผามาจากจีน 

ส่วนความสัมพันธ์ทางสายเลือด น่าจะเริ่มมีขึ้นในช่วงที่มีการอพยพของชาวจีนในสมัยสงครามสมัยราชวงศ์หยวนและช่วงต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งมีการติดต่อค้าขายกันมาโดยตลอด และชาวจีนจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากในไทย 

ในช่วงสงครามโลกและสงครามกลางเมืองของจีน เมื่อทศวรรษที่ 1930-1950 ชาวจีนจำนวนมากจากมณฑลทางใต้ เช่น กวางตุ้ง ไห่หนาน ฝูเจี้ยน และกวางสี พากันหนีภัยสงครามและความอดอยากเข้ามาที่ประเทศไทย กลายเป็นการสานสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า "ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" 

ในยุคสงครามเย็น กระแสการเมืองโลกทำให้ไทยกับจีนขาดการติดต่อกันในระดับทางการอยู่ระยะหนึ่ง แต่ความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมยังคงมีอยู่อย่างแนบแน่น และเมื่อทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2518 ความสัมพันธ์ก็พัฒนาอย่างรวดเร็วและราบรื่น เป็นหนึ่งในแบบอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มีระบบการปกครองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ด้านการเมืองในทศวรรษแรก หลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการ ทั้งสองประเทศประสบความสำเร็จในการเสริมสร้างความเข้าใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน อันนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนในการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคนั้น ซึ่งช่วยสนับสนุนและพัฒนาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสนามรบจนกลายเป็นตลาดการค้า ทั้งยังช่วยส่งเสริม, กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนอีกด้วย 

ผู้นำระดับสูงของจีน ได้เดินทางเยือนไทยอย่างสม่ำเสมอ โดย "เติ้ง เสี่ยวผิง" ผู้นำที่เคยได้ชื่อว่า ทรงอิทธิพลสูงสุดคนหนึ่ง ได้มาเยือนไทยครั้งแรกในปี 2521 และนับจากนั้นมา ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจีน ก็มาเยือนไทยกันอย่างต่อเนื่อง 

การทหาร มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือในหลายระดับ เช่น การหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่าย การประชุมคณะทำงานร่วมด้านการทหารระหว่างกองทัพอากาศ มีการฝึกร่วมระหว่างกองทัพไทยกับจีนในหลายรูปแบบ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของทั้งสองกองทัพ

การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการทหาร เพื่อการศึกษาและการฝึกอบรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการป้องกันประเทศ และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

ด้านเศรษฐกิจ เมื่อจีนได้เริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศ และปฏิรูปเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของ "เติ้ง เสี่ยวผิง" เมื่อปี 2521 ทำให้ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศพัฒนา และขยายตัวอย่างรวดเร็ว มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไทยยังเป็นประเทศแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในจีน ตั้งแต่ปี 2522 จนถึงก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียเมื่อปี 2540 หรือ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" 

ขณะที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการของจีน ระบุว่า ไทยยังคงมีการลงทุนในจีนนับพันโครงการ มีมูลค่าการลงทุนมหาศาล ส่วนจีนได้ลงทุนในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และต่างก็เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวยอดนิยมของประชาชนของทั้งสองประเทศ

ด้านสังคมและวัฒนธรรม ความผูกพันยาวนานและวัฒนธรรมที่ใกล้ชิด ทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่ เพื่อเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง และแม้จีนจะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนนับถือศาสนาพุทธมากถึงราว 100 ล้านคน ทำให้ยิ่งแน่นแฟ้นกับไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ซึ่งปัจจุบัน เยาวชนไทยได้หันมาเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ