สภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมาประกาศคำสั่งเมื่อคืนวันพฤหัสบดีบังคับใช้กฎอัยการศึกใน 37 เมืองใน 4 ภูมิภาค และอีก 4 รัฐ ได้แก่ ภูมิภาคสะกายและรัฐชิน ที่มีการสู้รบดุเดือดที่สุดระหว่างกองทัพและกองกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยและกลุ่มชาติพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีภูมิภาคมะเกว, ภูมิภาคพะโค ภูมิภาคตะนาวศรี, รัฐกะยา, รัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ
กฎอัยการศึกจะให้อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการแก่ผู้บัญชาการทหาร ที่ได้รับมอบหมายให้รักษาความมั่นคง หลักนิติธรรม และความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ประกาศใช้ ขณะที่ประชาชนอาจเผชิญการสอบปากคำจากกองทัพมากขึ้น และการขยายพื้นที่บังคับใช้เคอร์ฟิว นอกจากนี้ผู้กระทำผิดคดีอาญาส่วนใหญ่จะถูกพิจารณาคดีในศาลทหาร และไม่สามารถอุทธรณ์คำตัดสินได้
การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติเพิ่งประกาศเมื่อวันพุธขยายเวลาบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศอีก 6 เดือน และพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารระบุว่า 40% ของพื้นที่ทั่วประเทศยังไม่มีเสถียรภาพ
การขยายภาวะฉุกเฉินล่าสุดอาจทำให้แผนการจัดเลือกตั้งของรัฐบาลทหารที่เดิมคาดว่าจะจัดภายในเดือน ส.ค. อาจถูกเลื่อนออกไปอีก
ขณะเดียวกันสภาบริหารแห่งรัฐประกาศปรับคณะรัฐมนตรี โดยมีพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นนายกรัฐมนตรี และ โซ วิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีกิจการภายใน รัฐมนตรีคมนาคมและการสื่อสาร และรัฐมนตรีวางแผนและการคลังควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย นอกจากนี้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีอีกบางตำแหน่ง
ขณะที่สมาชิกหลายคนของพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคตัวแทนของกองทัพ และพรรคพันธมิตร รวมไปถึงอดีตรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสำคัญบางคนได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกในสภาบริหารแห่งรัฐด้วย ในจำนวนนี้รวมถึง วันนา หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศ