เพิ่ม nation online
ลงในหน้าจอหลักของคุณ
แนวคิดของรถรุ่นนี้เกิดจากการเปิดโอกาสให้คนภายในบริษัทแข่งขันโชว์วิสัยทัศน์ในการออกแบบรถยนต์แห่งอนาคตซึ่งผลปรากฏว่าอเล็กซ์ ตั้ง ซึ่งหน้าตาบ่งบอกเป็นชาวเอเชียอย่างชัดเจนเป็นผู้คว้าชัย แต่ตั้งบอกว่าถือเป็นผลงานของทีมทั้งด้านวิศวะและดีไซเนอร์ ใช้เวลาออกแบบนานถึง 2 ปี แรงบันดาลใจก็มาจากภาพยนตร์อย่างเช่นอวตาร์และต้องมีความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
ความพิเศษของเบนซ์ อวตาร์ นอกจากทำจากวัสดุที่รีไซเคิลได้เกือบทั้งหมดแล้วก็คือขุมกำลังขนาด 470 แรงม้า แบ็ตเตอรี่ออร์แกนิกส์ ขนาดความจุ 110 กิโลวัตต์ชั่วโมง ย่อยสลายได้ และใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาทีก็เต็ม วิ่งได้กว่า 700 กิโลเมตร ล้อสามารถแสดงแสงสีตามโหมดการใช้งานเช่นเมื่อชาร์จไฟก็จะเป็นแสงไฟวิ่งเข้าหาศูนย์กลางของล้อ
ล้อทั้ง 4 ขับเคลื่อนโดยอิสระตามสภาพถนน และยังสามารถวิ่งออกด้านข้างในมุม 30 องศาเหมือนการเดินของปูได้ด้วย
ภายนอกโดดเด่นด้วย Bionic Flap หรือแผ่นเปิด-ปิด 33 ชิ้น ทำหน้าที่หลากหลายทั้งช่วยระบบอากาศพลศาสตร์ เป็นแผงโซลาร์เซลส์และสื่อสารให้คนภายนอกรับรู้ว่าคนขับจะทำอะไรเช่นเดินหน้าจะเป็นไฟสีฟ้า เบรคจะเป็นไฟสีแดง เอียงซ้าย-ขวาตามการเลี้ยว จำลองการหายใจและการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตบนดาวแพนโดร่าในหนังอวตาร์ ด้านล่างจะมีไฟเลื้อยผันแปรไปตามความเร็ว
ภายในยิ่งน่าทึ่งเพราะไม่ปรากฏปุ่มใดๆ ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีจอสัมผัส ไม่มีแป้นที่เท้า มีแต่แป้นควบคุมบนคอนโซลกลางซึ่งทันทีที่เข้าไป รถจะอยู่ในสภาพตื่นและผู้ขับจะต้องวางมือลงบนแป้นเพื่อสื่อสารกับรถซึ่งจะจับจังหวะการเต้นของหัวใจของผู้ขับเพื่อจดจำว่าใครขับโดยคนขับสามารถกดนำหนักลงบนแป้นให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าหรือข้างหลัง แม้แต่ด้านข้าง ชลอความเร็วหรือเบรค หากต้องการใช้ฟังก์ชั่นอื่นๆก็แค่ยกมือขึ้นเพื่อรับสัญลักษณ์ที่จะส่งมายังฝ่ามือหลังจากนั้นกำฝ่ามือแล้วคลายออก ฟังก์ชั่นนั้นก็จะทำงานให้ ที่สำคัญสามารถเปลี่ยนมือให้คนนั่งด้านข้างขับได้ด้วย
ทุกวันนี้ยังคงมีคนถามหา ถามราคาของรถรุ่นนี้แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทางเมอร์ซิเดส เบนซ์ยังไม่มีแผนผลิตเพื่อจำหน่าย ยังเป็นเพียงรถต้นแบบที่สะท้อนความหรูหราและเทคโนโลยีของความเป็นเบนซ์ไว้
หลายคนคงมีความฝันจะมีเบนซ์ไว้ใช้สักคัน ฝันไว้ไม่เสียหลาย ผู้บริหารคนหนึ่งของเบนซ์กล่าวไว้ว่าแรงบันดาลใจ และความหลงไหลคือแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า