svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ปตท.ชู 'นวัตกรรม' เปลี่ยนอนาคตและทำให้ยั่งยืน

22 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นวัตกรรมเป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องมาผนวกกับธุรกิจเพื่อธุรกิจยั่งยืน ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญ คือ 4D 1. Digitalization 2. Decentralization 3. Decarbonization 4. Derisk

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ กล่าวในงานสัมมนา Next Step Thailand 2023 : ทิศทางแห่งอนาคต ระบุว่า นวัตกรรมเป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องมาผนวกกับธุรกิจเพื่อธุรกิจยั่งยืน ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญ คือ 4D แบ่งเป็น 1. Digitalization ซึ่งดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคถ้าปรับตัวไม่ได้ 2. Decentralization จากการที่จะต้องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะปัญหาโลกร้อน

3. Decarbonization ซึ่งในทางธุรกิจมาจากปัญหาในบางพื้นที่ทำให้เกิดซัพพลาย ดิสรัปชั่น ที่เกิดความเสี่ยงต่อการผลิตสินค้าและส่งสินค้าไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมามักเกิดปัญหาชิปขาดตลาดในประเทศที่มีการจ้างผลิต ดังนั้นโลกธุรกิจจะต้องมองในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงของฐานการผลิต และ 4. Derisk โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาทำให้แต่ละประเทศในพื้นที่เริ่มมองกลับมาทางธุรกิจว่าจะยืนได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะสภาวะใด ๆ จะเกิดขึ้น

ปตท.ชู 'นวัตกรรม' เปลี่ยนอนาคตและทำให้ยั่งยืน

สำหรับ ทั้ง 4 ปัจจัย ปตท. ต้องใช้นวัตกรรมช่วยเปลี่ยนอนาคตและทำให้ยั่งยืน โดยมี 2 นวัตกรรมคือ 1. นวัตกรรมลดโลกร้อน 2. นวัตกรรมในการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยนวัตกรรมลดโลกร้อนมีความจำเป็น ขณะนี้ใกล้ตัวมากขึ้น จากงานวิจัยพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับ 9 ของโลกที่มีความเสี่ยงหากเกิดภาวะโลกร้อนแม้จะไม่เป็นผู้กระทำแต่ด้านภูมิศาสตร์ที่ติดทะเล ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 ซึ่ง ปตท. จะทำให้ถึงเป้าหมายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าที่ประเทศประกาศ เพื่อช่วยค่าเฉลี่ย เพราะบริษัทใหญ่หากทำเร็วกว่าบริษัทที่ไม่มีศักยภาพทำ

สำหรับนวัตกรรมที่จะเป็นตัวช่วยลดโลกร้อนหลัก ๆ มี 3 ตัว คือ

1. Renewable ถือเป็นพลังงานทดแทนที่แพร่หลาย ปตท. จะเพิ่มพอร์ตธุรกิจไฟฟ้ามากขึ้น โดยตั้งเป้าภายในปี 2030 มีพลังงานทดแทนเข้ามาในพอร์ตกว่า 12,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีแล้วกว่า 2,000 เมกะวัตต์ จะช่วยลดการใช้ฟอสซิล ดังนั้น นวัตกรรมที่ดูแล้วน่าจะเป็นอนาคตอยู่ระหว่างการพัฒนาคือ โซลาร์และวิน ซึ่ง ปัญหาของพลังงานลมคือใบพัด ขณะนี้เริ่มสร้างนวัตกรรมใหม่ที่เป็นแท่งรับลมไม่มีกังหัน

2. การใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCS) ที่ปล่อยมาจากหน่วยผลิตกลับมาเก็บไว้ใต้ดินด้วยเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกหนีไม่พ้นการปล่อยคาร์บอน แต่เมื่อปล่อยแล้วก็ต้องเก็บกลับมา

3. การนำคาร์บอนที่เก็บไว้มาใช้ประโยชน์ (CCUS) กลุ่มปตท.ได้เริ่มทำ Pilot Project ในแหล่งก๊าซอาทิตย์ สามารถเก็บได้ประมาณปีละ 1 ล้านตันคาร์บอน และกำลังศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพออกไปจากชายฝั่งจะสามารถเก็บถึง 7 ล้านล้านตันคาร์บอน สามารถนำมาพัฒนาสร้างมูลค่าซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาใน 3-4 โปรดักส์ อาทิ Methanol, Nano Calcium Carbonate, Animal Protein และ Sodium Bicarbonate คาดว่าจะต้องเกิดขึ้นปีหน้า ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดจะส่งผลกับความยั่งยืนของประเทศและองค์กร

ทั้งนี้ ในการจัดลำดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยเริ่มตกลงเกือบทุกปี ขณะนี้อยู่อันดับ 33 จาก 63 ประเทศ ส่วนความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลอยู่อันดับที่ 40 สวนทางกับการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ระดับ Top ของโลกแต่ก็ยังมีข้อดีคือ ประเทศไทยเหมาะกับการประกอบธุรกิจเราอยู่ในอันดับ 3 และเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านสุขภาพเราในอันดับ 5

นวัตกรรมเพื่อการยกคุณภาพชีวิตที่ประเทศต้องมีแบ่งเป็น 3 ข้อ คือ 1. Agriculture 2. Next Generation Automative 3. MedTech & Healthcare ทั้งนี้ นวัตกรรมทางเกษตรมีศักยภาพแต่มีความท้าทายสูง โดยประชากรประกอบอาชีพเกษตรถึง 30% หรือ 1 ใน 3 เป็นเกษตรกรกลับสร้าง GDP ให้กับประเทศแค่ 8.5% ดังนั้นภาคเกษตรต้องเพิ่มผลผลิต การทำเกษตรแบบดั้งเดิมอาจจะมีปัญหาต้องเอา AI เข้ามาใช้เกิด Smart farming ซึ่ง ปตท. ได้ทำเทคโนโลยีโดรนมากพอสมควร สามารถนำไปสร้างนวัตกรรมเป็นโดรนเกษตรช่วยใส่ปุ๋ย ใส่ยาฆ่าแมลง เป็นต้น

นอกจากนี้ จึงต้องพัฒนาใส่ข้อมูลต่าง ๆ ในโดรน เช่น สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน เพื่อเพิ่มความฉลาด ตนเชื่อว่ามีหน่วยงานราชการดูแลเรื่องนี้ แต่จะทำยังไงให้บูรณาการแล้วลงไปในพื้นที่จริงได้ อีกเรื่องคือแพลตฟอร์มค้าขายเพื่อไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งปตท. ได้ลงไปช่วยบ้างในบางพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนเอาสินค้าสามารถขายได้โดยตรง

 

อีกธุรกิจคือ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ถือเป็นธุรกิจยานยนต์อนาคต ซึ่งปตท.ทำอยู่โรงงานจะเสร็จภายใน 2 ปีนี้ จะกลายเป็นโรงงาน OEM ใครอยากสร้างแบรนด์และไม่ต้องการลุงทุนโรงงานผลิตก็มาดีไซน์ร่วมกับปตท. ส่วนสถานีชาร์จอีวี หากคนติดตั้งมากขึ้น แต่ก็ต้องการนวัตกรรมการบูรณาการจะเชื่อมโยงแต่ละยี่ห้อรวมถึงการจ่ายเงินค่าชาร์จ น่าจะได้เห็นภายใน 2 ปีนี้ จะช่วยกระตุ้น Eco System ของอีวี ให้เติบโตนำประเทศจะไปสู่เป้าหมาย 30% ในปี 2030

logoline