svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"หอการค้าไทย" เล็งยื่น สมุดปกขาว เสนอแผนฟื้นธุรกิจ ภาคเอกชนให้ รัฐบาล

26 พฤศจิกายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สภาหอการค้าไทย เตรียมสรุปทำ สมุดปกขาว เสนอโมเดลฟื้นธุรกิจ ภาคเอกชน ให้รัฐบาล เร่งขับเคลื่อน ชี้วาระสำคัญ คือ การยกระดับกลุ่ม SME ให้แข่งขันได้ รวมทั้ง ดึงเม็ดเงิน ต่างชาติเข้าประเทศผ่านโครงการเมกะโปรเจค

นายสนั่น​ อังอุบลกุล​ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลัง การเปิดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2565 จ.อุบลราชธานี ว่า หลังจากจบ การสัมมนา เพื่อระดมความเห็นจาก เอกชน ทั่วประเทศแล้ว จะสรุปเพื่อจัดทำ สมุดปกขาว เสนอต่อ รัฐบาล​  ในประเด็นการเดินหน้าสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ผ่านการขับเคลื่อน BCG (Bio-เศรษฐกิจชีวภาพ, Circular-เศรษฐกิจหมุนเวียน, Green-เศรษฐกิจสีเขียว) และ ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม , Governance-ธรรมาภิบาล) อย่างจริงจัง เพราะ เศรษฐกิจไทยในปีหน้า ยังมีความท้าทาย จากวิกฤตซ้อนวิกฤต ​ที่เป็นผลต่อเนื่องจากปีนี้​

โดยวาระเร่งด่วนที่เอกชน ตั้งเป้าหมาย ร่วมกับ ภาครัฐ  คือ การยกระดับ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่จะต้องได้รับการสนับสนุนให้ เกิดการปรับตัว พร้อมเดินหน้าลงทุน ในโครงการต่างๆ เพื่อดึงดูดเม็ดเงิน จากต่างชาติ​ อาทิ การลงทุน ในเมกะโปรเจค กับ ประเทศซาอุดิอาราเบีย​ ,ขยายการลงทุนในเวียดนาม ​มูลค่า​ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ​2568 รวมทั้ง การลงทุน ร่วมกันกับประเทศจีน ที่ได้วาง ยุทธศาสตร์ ร่วมกันไปแล้ว 

ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ในฐานะรองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยอมรับว่ากังวลถึง แนวโน้มราคาพลังงานที่สูงขึ้น จะยังเป็นปัจจัยกดดันให้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ประชาชน และ กลุ่มเกษตรกร ที่มีการฝากสินค้าเกษตร ในตู้แช่แข็งมากกว่า 50% มีต้นทุนการฝากแช่ 1.20 บาทต่อกิโลกรัม

ขณะที่ อุตสาหกรรมอาหารแช่เยือกแข็ง ค่าไฟคิดเป็นสัดส่วนต้นทุน 20% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด รองมาจากต้นทุนค่าแรงที่สูงที่ถึง 40-50%  ขณะที่แนวโน้ม การส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งปีหน้า คาดว่าจะยังเติบโต จากความต้องการซื้อที่สูงขึ้น และ ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ยังแข่งขันได้ แม้ต้นทุนการผลิตจะสูง

โดยประเมินว่า การส่งออก ภาพรวมทั้งปี 2566 น่าจะเติบโตได้กว่า 10% อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นทิศทาง เงินบาทแข็งค่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย บริหารจัดการค่าเงินบาท ในปีหน้าให้อยู่ในระดับ 37 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

 

logoline