svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อัปเดตสถานการณ์

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี”

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี” บทเรียนล้ำค่าในวันที่ไทยไม่เหมือนเดิม

​30 ธันวาคม 2568 "สกู๊ปพิเศษ" ปี พ.ศ. 2568 จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ภัยพิบัติไทยว่าเป็นปีแห่ง “จุดเปลี่ยน” เมื่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติไม่ได้มาตามปฏิทินฤดูกาลปกติ แต่กลับทวีความรุนแรงจนโครงสร้างพื้นฐานที่เคยมีอยู่พังทลายลงในพริบตา

จากยอดดอยในเชียงรายสู่ใจกลางเมืองเศรษฐกิจอย่างหาดใหญ่ วิกฤตครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนกว่า 100 ราย และประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ประเมินวิกฤตน้ำท่วมใต้เศรษฐกิจหาดใหญ่เสียหายกว่า 20,000 ล้าน 

 

 

​1. ฝันร้ายที่แม่สาย: เมื่อ “น้ำมา” พร้อม “มวลโคลน”

​หากจะพูดถึงพื้นที่ที่สาหัสที่สุดในภาคเหนือ คงหนีไม่พ้น “อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย” ภาพของน้ำป่าที่ไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนกลางดึกในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ยังคงติดตาผู้ประสบภัย  

 

ระดับน้ำที่สูงถึง 1 เมตร พุ่งเข้าใส่บ้านเรือนแบบไม่ทันตั้งตัว ทิ้งรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้ในรูปแบบของ “มวลโคลน” มหาศาลที่ทับถมจนมิดชั้นล่างของบ้าน  

 

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี”

 

 

ปมปัญหาเชิงโครงสร้าง:

​ลำน้ำที่ถูกบีบ: จากแม่น้ำสายที่เคยมีความกว้าง 150 เมตร ปัจจุบันเหลือพื้นที่ระบายน้ำเพียง 20-30 เมตร เนื่องจากการรุกล้ำสิ่งก่อสร้างทั้งสองฝั่งพรมแดน

​ภัยแฝงจากการปนเปื้อน: ความกังวลเรื่องสารหนูและสารเคมีจากการเกษตรที่ไหลปนมากับน้ำ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านสาธารณสุขหลังน้ำลด  

​ความเสียหาย: เชียงรายครองแชมป์ความเสียหายสูงสุดในภาคเหนือ โดยเฉพาะภาคการค้าชายแดนและเกษตรกรรม รวมมูลค่ากว่า 6,412 ล้านบาท  

 

 

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี”

 

​2. วิปโยคหาดใหญ่: รับมือ “Rain Bomb” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ศตวรรษ

​ในขณะที่ภาคเหนือเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโคลน ภาคใต้ก็ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า “ระเบิดฝน” (Rain Bomb) ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน


​สถิติช็อกโลก:

กรมชลประทานระบุว่า หาดใหญ่เผชิญฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี โดยมีปริมาณฝนสะสม 3 วัน (19-21 พ.ย.) สูงถึง 630 มิลลิเมตร  หากเทียบกับปี 2553 ที่ว่าหนักแล้ว (428 มม.) ปีนี้กลับรุนแรงกว่าเดิมเกือบร้อยละ 50 ทำเอาเมืองที่มีลักษณะเป็น “แอ่งกระทะ” อย่างหาดใหญ่กลายเป็นทะเลในพริบตา
 


​ไฮไลท์ความสูญเสีย:

​กิมหยงล่มสลาย: ตลาดกิมหยง หัวใจเศรษฐกิจภาคใต้ จมน้ำมิดชั้น 1 แผงค้ากว่า 500 แห่งพังพินาศ 100%

​พื้นที่สีแดง: รัฐบาลต้องประกาศเขตภัยพิบัติระดับ 4 ในจังหวัดสงขลา โดยมีระดับน้ำท่วมสูงเกิน 3 เมตรในหลายจุด  

​ความสูญเสียในภาคใต้: เฉพาะในสงขลามีผู้เสียชีวิตสูงถึง 142 ราย จากยอดรวมทั้งภาคใต้ 267 ราย

 

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี”

 

 

3. ถอดรหัสความล้มเหลว: ทำไมระบบป้องกันถึง “เอาไม่อยู่”?

นักวิเคราะห์ภัยพิบัติชี้ให้เห็นว่า มหาอุทกภัย 2568 คือบทพิสูจน์

 

 

ความล้มเหลวของระบบการจัดการแบบเดิม:

1.​ขาดเอกภาพ (Single Command): แม้จะมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่คำสั่งในระดับปฏิบัติการกลับสับสน ประชาชนได้รับการเตือนภัยในวันที่น้ำท่วมมิดหลังคาไปแล้ว  

2.​ผังเมืองขวางทางน้ำ: ทั้งในเชียงรายและหาดใหญ่ การก่อสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางน้ำธรรมชาติ ทำให้เมื่อเจอฝนระดับ Rain Bomb ระบบระบายน้ำเดิมจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  

3.​โลกเดือดคือของจริง: สภาวะลานีญาที่ทำให้เกิด “ฝนแช่” (Stationary Heavy Rain) ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศพุ่งสูงถึงร้อยละ 73 ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมามหาศาล

​4. มาตรการเยียวยา: การเยียวยาจิตใจและคืนลมหายใจให้เศรษฐกิจ

 

 

​หลังวิกฤตผ่านพ้น รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือที่เข้มข้นกว่าทุกปี:

 

เงินเยียวยาครัวเรือน: จ่ายเหมาจ่าย 9,000 บาท และเพิ่มตามระยะเวลาน้ำท่วมขัง รวมสูงสุด 29,000 บาทต่อครัวเรือน

​กรณีพิเศษ: มอบเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิตในพื้นที่สงขลารายละ 2,000,000 บาท  

​สินเชื่อฟื้นฟู: พักชำระหนี้ 12 เดือน และเงินกู้ดอกเบี้ย 0% สำหรับปีแรก เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กและ SMEs กลับมายืนได้อีกครั้ง

 

มหาอุทกภัยไทย 2568 เมื่อ “สมรภูมิโคลน” ปะทะ “ระเบิดฝน 300 ปี”

 


​บทสรุป: สู่การสร้าง “เมืองที่ยืดหยุ่น” (Resilient City)

มหาอุทกภัยปี 2568 คือสัญญาณเตือนภัยครั้งสุดท้ายว่า “เราไม่สามารถใช้วิธีเดิมแก้ปัญหาใหม่ได้” การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำขึ้น การรื้อผังเมืองที่ขวางทางน้ำ และความร่วมมือบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ “ทางรอด” เดียวของประเทศไทยในยุคที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอย่างสุดขั้ว เพื่อไม่ให้บทเรียนจากแม่สายและหาดใหญ่ต้องซ้ำรอยเดิมอีกในปีต่อๆ ไป