
8 ธันวาคม 2568 ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 7,353 เคส มูลค่าความเสียหาย 411,285,507 บาท เฉลี่ย 58.75 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งคดีที่รับแจ้งเพิ่มขึ้นจากห้วงวันที่ 23 - 29 พ.ย.68 จำนวน 827 เคส แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายลดลง 16,727,788 บาท สะท้อนให้เห็นยุทธวิธีของคนร้ายที่เปลี่ยนไปเน้น “ปริมาณมากกว่ามูลค่า”
สำหรับแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในแผนประทุษกรรม ยังคงเป็น FACEBOOK ซึ่งมีจำนวนครั้งแจ้งความสูงสุดกว่า 3,274 ครั้ง แต่ในทางกลับกันในแง่ความเสียหายสูงสุดกลับพบในกลุ่ม ช่องทางอื่นๆ บ่งชี้ถึงการกระจายความเสี่ยงของคนร้ายไปยังแพลตฟอร์มหรือวิธีการใหม่ๆ ดังนั้นประชาชนต้องรู้เท่าทันถึงกลลวงที่คนร้ายใช้แต่ละแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1 ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 61.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายในช่วงต้นเดือนและกระแสโปรโมชั่นส่งท้ายปีที่กำลังจะมาถึง เป็นภัยที่ใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และอาศัยความประมาทหรือความอยากได้ในสินค้าราคาถูกเป็นจุดโจมตีเหยื่อ ขณะที่อันดับที่ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3.คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ
ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย เป็นไปตามสัปดาห์ก่อนหน้าที่
อันดับ 1.คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล
อันดับที่2. เป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สะท้อนว่ามิจฉาชีพยังใช้ “ข้ออ้างผลตอบแทนสูง” ดึงเหยื่อได้ดี
ส่วนอันดับที่ 3 คือการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ ม้าข้ามแดนหนีตาย ที่เกิดจากปฏิบัติการกวาดล้างศูนย์สแกมในพื้นที่ Shwe Kokko และKK Park ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานและบัญชีม้าจำนวนมากหนีข้ามแดนเพื่อลดความเสี่ยง ขบวนการจึงมีการปรับยุทธวิธีหนีการตรวจจับ โดยหันไปใช้ บัญชีสัญชาติเพื่อนบ้าน (ลาว กัมพูชา มาเลเซีย)แทนบัญชีไทย เริ่มใช้ E-wallet ในการหลอกลวงมากขึ้น
สำหรับแผนประทุษกรรมคนร้ายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ล่อลวงผู้เสียหายในรอบสัปดาห์ พบว่ามีการใช้ E-wallet ด้วยการส่งSMS ปลอมอ้างชื่อ PTT หรือ Café Amazon หลอกว่าคะแนนสะสมใกล้หมดอายุ หรือแลกของรางวัล เพื่อหลอกเอาข้อมูล หรือให้โอนเงิน ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มุ่งเป้าผู้สูงอายุ โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าก็ยังคงระบาด กับอุบายเดิม อย่าง “หลอกคืนเงินค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า” หรือ“เปลี่ยนหม้อแปลงไฟฟ้า” ก่อนจะให้แอดไลน์ปลอมของการไฟฟ้า จากนั้นหลอกให้ติดตั้งแอปฯดูดเงินหรือสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน หลอกให้เปลี่ยนภาษา สุดท้ายเหยื่อหลงกลสูญเสียเงินในบัญชีจำนวนมาก , เช่นเดียวกับการหลอกขายสินค้าผ่าน Social Media โดยยอดฮิตยังคงเป็นบัตรคอนเสิร์ต ,โทรศัพท์มือถือมือสอง (หลุดจำนำ), สินค้าเกษตร (เมล็ดพันธุ์) ,สัตว์เลี้ยง (สุนัข ,แมว ) และอื่นๆ รวมไปถึงการหลอกทำงานพิเศษ/ลงทุน เริ่มต้นจากชวนทำงานง่ายๆ (กดรับออเดอร์,กดไลก์) แรกๆได้เงินจริงในยอดเงินน้อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อใจ จากนั้นจะดึงเข้ากลุ่ม Line OpenChat เพื่อหลอกให้ลงทุนในยอดเงินที่สูงขึ้น สุดท้ายเมื่อเหยื่อจะถอนเงิน คนร้ายจะอ้างว่าติดเงื่อนไขต่างๆ ไม่สามารถถอนได้
อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนยังคงตกเป็นเหยื่อ ในกรณีที่คนร้ายโทรศัพท์มาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ,DSI หรือ ป.ป.ง. โทรศัพท์มาข่มขู่เด็กและเยาวชน ให้แอดไลน์ที่มีการปลอมโปรไฟล์เป็นหน่วยงานรัฐ และให้เด็กและเยาวชนวิดีโอคอล เพื่อควบคุมตัวทางออนไลน์ ก่อนบอกให้เด็กออกจากบ้านไปอยู่ลำพัง หลังจากนั้น คนร้ายจะโทรศัพท์หาผู้ปกครองให้โอนเงินเพื่อเรียกค่าไถ่ แลกกับการปล่อยตัวเด็ก
ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 14 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 23 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 4,362,200 บาท