svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

"ปัจจัยทรัมป์" สู่สันติภาพไทย-กัมพูชา สิ้นสุดปรปักษ์ที่ยืดเยื้อ ภูมิรัฐศาสตร์เข้ามามีบทบาท

นักวิชาการชี้ "ปัจจัยทรัมป์" ตัวแปรสำคัญยุติข้อพิพาทไม่ยืดเยื้อ ระบุความร่วมมือแบบ "พหุภาคี" เข้ามามีบทบาทเหนือ "ทวิภาคี" อย่างชัดเจน มองการเข้ามาของ "ทรัมป์" ในเวทีอาเซียน ตอกย้ำถึง "ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

27 ตุลาคม 2568 ภายหลังการลงนามยุติข้อพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา เมื่อวานนี้ (26 ต.ค.2568) อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ "สันติภาพไทย-กัมพูชา/สันติภาพทรัมป์" โดยเนื้อหาระบุว่า ก่อนอื่นคงต้องถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้นำไทย-กัมพูชา สามารถบรรลุผลของการหารือ ที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพของทั้ง 2 ประเทศในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีความขัดแย้งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ดังที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับว่า นับจากนี้ถือ “เป็นการสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่” ของรัฐคู่พิพาท

อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงนามเพื่อยุติข้อพิพาทในครั้งนี้ อาจชวนให้เราตั้งข้อสังเกตได้ดังต่อไปนี้

1)    ผลของการลงนามยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นนั้น ต้องยอมรับว่า “ปัจจัยทรัมป์” (Trump Factor) เป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในวันที่ 26 ตุลาคม

2)    ต้องยอมรับว่า การเข้ามาของ “ปัจจัยทรัมป์” ทำให้ปัญหาที่ค้างคาจากการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติไม่กลายเป็น “ปัญหายืดเยื้อ” แต่ยังต้องดำเนินการในรายละเอียดต่อไป

3)    ดังที่กล่าวเป็นข้อสังเกตมาโดยตลอดว่า ปัญหาข้อขัดแย้งและการยุติข้อพิพาทมีลักษณะเป็นเรื่องในแบบ “พหุภาคี” ที่เกี่ยวข้องกับตัวแสดงหลายฝ่าย มีทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และมาเลเซีย ปัญหาจึงไม่มีสภาวะเป็น “ทวิภาคี” ที่เกี่ยวข้องกับไทยและกัมพูชาเท่านั้น

4)    ถ้าสหรัฐไม่เข้ามามีบทบาทโดยตรงในการนี้ เราอาจจะเห็นบทบาทของจีนไม่แตกต่างกัน และในการลงนามการหยุดยิงครั้งแรกในเดือนสิงหาคม เราได้เห็นจีนเป็นหนึ่งในการเป็นผู้สังเกตการณ์ ฉะนั้น จึงต้องติดตามดูบทบาทของจีน ที่ดูเหมือนทรัมป์เล่นบทแบบ “ขับรถปาดและแซง” หน้าไปในกรณีนี้

5)    ในอีกส่วน เราเห็นถึงบทบาทของมาเลเซียที่เข้ามาเป็นคนกลาง อาจจะเพราะมาเลเซียมีสถานะของการเป็นประธานอาเซียนในปีปัจจุบัน ซึ่งคงต้องถือเป็นเครดิตของนายกฯ อันวาร์ และอาจถือเป็นข้อดีในมิติที่เป็นบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง

6)    บทบาทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในเวทีการประชุมผู้นำสูงสุดอาเซียนครั้งนี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงการเข้ามาอย่างเป็นรูปธรรมของ “ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Factor) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7)    ถ้อยแถลงที่มาเลเซียนั้น เป็นดัง “แถลงการณ์ร่วม” ของผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายและรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงไม่อาจถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาแต่อย่างใด มิเช่นนั้น ผู้นำในเวทีระหว่างประเทศจะไม่สามารถออกแถลงการณ์ที่เป็นความเห็นร่วมกันได้เลย (บรรดาปีกขวาจัดในการเมืองไทยที่คัดค้านในเรื่องนี้ อาจต้องทำความเข้าใจในประเด็นเช่นนี้บ้าง)

8)    แม้การยุติข้อพิพาทจะมีลักษณะที่เป็นพหุภาคี แต่กลไกในการแก้ปัญหาในพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทยังต้องอาศัย “กลไกทวิภาคี” ในการดำเนินการ จึงยังต้องอาศัย “บันทึกช่วยจำ” ที่ทำขึ้นในปี 2543 และ 2544 เพื่อเป็นกรอบ เพราะการแก้ปัญหายังต้องการการมีกรอบระหว่างประเทศช่วยกำกับในการนี้

9)    ผลจากการออกข้อยุติในครั้งนี้ ได้เห็นการจัดตั้ง “คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน” (ASEAN Observer Team-AOT) ในการควบคุมการหยุดยิง ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกว่าคณะผู้สังเกตการณ์ที่มี 2 ทีม อยู่ 2 ฝั่งของชายแดน อันทำให้การควบคุมการหยุดยิงเกิดขึ้นได้ยาก

10)    ข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อของไทยได้รับการตอบสนองจากเวทีที่มาเลเซีย แต่ก็เป็นปัญหาของการดำเนินการในรายละเอียดที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องผลักดันให้ได้ในแต่ละเวที ได้แก่ ปัญหาการถอนอาวุธหนักและการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นเรื่องของฝ่ายทหารคือ เวที RBC การจัดทำแนวทางการบริหารชายแดนเป็นหน้าที่ของเวที JBC และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะต้องรวมเรื่องของสแกมเมอร์ อาจจะเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งอาจจะใหญ่กว่าระดับของเวที GBC

11)    ปัญหาที่เป็นจริงหลังจากการประชุมที่มาเลเซียแล้ว คือ การทำให้กลไก RBC สามารถทำให้เกิดความสำเร็จในประเด็นทางทหาร

12)    ปัญหาสำคัญอีกส่วนเป็นเรื่องทางเทคนิค ซึ่งเวทีการประชุม JBC ที่จันทบุรี (โดยท่านทูตประศาสน์ ประศาสนวินิจฉัย) ได้ข้อยุติที่ชัดเจน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีไลด้ามาช่วยในการถ่ายภาพ เพื่อแก้ปัญหา และการแก้ปัญหากรณีบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว

13)    หลังจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศอาจจะต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาให้กลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งรวมถึงการคืนชีวิตตามแนวชายแดนกลับสู่ภาวะก่อนความขัดแย้งให้ได้ และมีนัยต่อการเปิดด่าน และการลดกระแสชาตินิยมในแต่ละบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

ท้ายบท
ความสำเร็จจากการยุติปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อันเป็นผลโดยตรงต่อการเข้ามาของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ชวนให้เราต้องคิดถึง “ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์” มากขึ้น และอาจเป็นภาพสะท้อนว่า ความเชื่อในเรื่อง “ทวิภาคี” ที่ผู้นำพลเรือนและทหารไทย ที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด อาจเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงกับปัญหาการเมืองโลกปัจจุบัน

ความสำเร็จดังกล่าวยังชวนให้ทั้งรัฐ และสังคมไทยต้องพิจารณาถึงบทบาทและผลกระทบของ “ปัจจัยระหว่างประเทศ” ด้วยความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย !