
28 ตุลาคม 2568 เวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กรณี พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 ออกคำสั่ง บก.น.2 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตำรวจ ยศ พ.ต.ท. ตำแหน่ง รองผกก.สน.ดอนเมือง
เนื่องจากวันที่ 7 ต.ค.2568 พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ สน.ดอนเมือง ได้ทำบันทึกข้อความ เรื่อง รายงานข้าราชการตํารวจต้องคดีอาญาของ พ.ต.ท. นายดังกล่าวถูกกล่าวหากระทําความผิดอาญา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ,ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , สมคบโดย การตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะ เหตุที่ได้มีการสมคบกัน , ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5865/2568 ลงวันที่ 6 ต.ค.68 โดย ร.ต.อ.หญิง ณัฐพิมล ลาภมาก กก.ป.ปอท.2 พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
สืบเนื่องจากช่วงปลายเดือน พ.ค.2568 ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มชื่อ "FINNIXMAX" โดยเห็นจากโฆษณาในเฟซบุ๊กโดยในระยะแรกสามารถเบิกถอนเงินได้ตามปกติ พอผู้เสียหายลงทุนเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ถูกฉ้อโกงเงินไปมูลค่าความเสียหายกว่า 1.2 ล้านบาท
ชุดสืบสวนบก.ปอท.รวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 24 ราย จับกุมได้แล้ว 16 ราย อายัดตัวผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมในเรือนจำ 1 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและอายัดทรัพย์สินหลายการ อาทิ รถยนต์ 9 คัน กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม 48 รายการ , เงินสด 295,920 บาท โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 23 รายการ สมุดบัญชีธนาคารกับบัตรเอทีเอ็ม 92 รายการ รวมทรัพย์สินมูลค่ากว่า 21 ล้านบาท
ต่อมา รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับศาลเพิ่มเติมอีก 5 ราย วันที่ 7 ต.ค.2568 นำกำลังตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุด ในพื้นที่ กทม. และ จ.อุดรธานี จับกุม พ.ต.ท.นายดังกล่าว เมื่อเวลา 10.00 น. ได้ที่ห้องหมายเลข 2 บ้านพักหลังหนึ่งย่านแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. คดีอยู่ระหว่างสอบสวน
ต่อมา พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 เซ็นคำสั่งบก.น.2 ที่ 291/2568 ลงวันที่ 8 ต.ค.68 เนื่องด้วย ตำรวจนายดังกล่าว รับเงินเดือนระดับ ส.3 ขั้น 23 อัตราเงินเดือน 44,130 บาท ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญาดังกล่าว และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) คือ ถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญาโดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย ของประชาชน ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การสอบสวนพิจารณาคดีที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
ฉะนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 มาตรา 131 และมาตรา197 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบกับ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 มีคำสั่งให้ ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.68 เป็นวันที่ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัว ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์