
6 ตุลาคม 2568 นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก สมาคมทนายความเเห่งประเทศไทย เรื่องที่ดินเขากระโดง ว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดโต้เถียงคือ ที่ดินบริเวณเขากระโดงเนื้อที่จํานวน 5,083 ไร่ 80 วา 1 ศอก เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ลงวัที่ 8 พฤศจิกายน 2462 แต่ปัญหาที่กรมที่ดิน ซึ่งมีหน้าที่เพิกถอนโฉนดที่ออกทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟแห่งประเทศ ไทยที่เป็นเจ้าของที่ดินยังหาข้อยุติไม่ได้คือ
“ที่ดินของการรถไฟดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใด มีอาณาเขตอย่างไร”
ทางออกที่ง่ายที่สุดที่รัฐบาลสามารถยุติความขัดแย้ง เพื่อนําเอาที่ดินคืนมาเป็นของรัฐคือ นายกรัฐมนตรีควรออกคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อจัดทําแผนที่ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยจํานวน 5,083 ไร่ 80 วา 1 ศอก ประกอบด้วยส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมแผนที่ทหาร เพื่อร่วมกันรับผิดชอบจัดทําแผนที่ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกําหนด ซึ่งหากร่วมมือกันอย่างจริงจังผมเชื่อว่าจะทําเสร็จภายในไม่เกิน 30 วัน แผนที่ดังกล่าวถือเป็นแผนที่ที่ทางราชการได้ทําขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอํานาจหน้าที่ กรมที่ดินจึงสามารถใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นหลักฐานแสดงขอบเขตของที่ดินที่เป็นของการ รถไฟได้ตามกฎหมาย
หากแผนที่ดังกล่าวทําขึ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว อธิบดีกรมที่ดินก็สามารถใช้แผนที่ ดังกล่าวซึ่งทําขึ้นโดยส่วนราชการตามคําสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นแผนที่ของทางราชการ เพื่อเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทุกแปลง อธิบดีกรมที่ดินจะไม่มีข้ออ้างที่จะไม่เพิกถอนโฉนดอีกต่อไป เพราะการเพิกถอนโฉนดเป็นการปฏิบัติหน้าที่และอํานาจ ของอธิบดีโดยสุจริต จึงไม่เป็นตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และไม่เป็นการทําละเมิด ต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกเพิกถอนโฉนด แต่หากอธิบดีกรมที่ดินไม่เพิกถอนโฉนดก็จะกลายเป็นผู้กระทํา ผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
การออกคําสั่งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดทําแผนที่ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าว จะทําให้อธิบดีกรมที่ดินสามารถออกคําสั่งเพิกถอนโฉนดที่ออกทับที่ดินตามแผนที่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยฟ้องขับไล่หรือฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเป็นรายแปลง ซึ่งเปลืองทั้งเวลาและงบประมาณทั้งยังทําให้ที่ดินกลับมาเป็นสมบัติของชาติได้อย่างรวดเร็วและประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการฟ้องคดีเป็นรายแปลง
ทั้งหลายทั้งปวงจึงขึ้นอยู่กับความจริงใจของนายกรัฐมนตรีที่จะจริงจังกับการเอาสมบัติของชาติคืนมามากน้อยเพียงใด ทางออกที่ง่ายที่สุดตามที่ผมแนะนํามีอยู่แล้ว จึงขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะเห็นแก่ประโยชน์ของชาติหรือประโยชน์ของผู้มีพระคุณที่ทําให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยทําให้ยุ่งเข้าไว้ปล่อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตีกันเองเพื่อจะได้ไม่ต้องทําอะไรแบบที่เป็นอยู่